ด่วน! คุก 2 ปี “สุรพงษ์” รมว.ต่างประเทศ ออกพาสปอร์ตให้ “ทักษิณ ชินวัตร”
ใน คดีหมายเลขดำ อธ.อม.3/2561 ที่อัยการสูงสุด เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล อายุ 66 ปี อดีต รมว.ต่างประเทศ ในรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นจำเลย ในความผิดฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริตเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 123/1
ซึ่งคดีนี้ อัยการสูงสุด ยื่นฟ้องเมื่อเดือน มี.ค.60 ภายหลังคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีมติต้นเดือน ก.พ.60 ที่ผ่านมา ชี้มูลความผิดทางอาญา นายสุรพงศ์ อดีต รมว.ต่างประเทศ ที่ได้ลงนามในการพิจารณาออกหนังสือเดินทาง (พาสปอร์ต) ให้นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 25 ต.ค.54 ทั้งที่ขณะนั้นนายทักษิณ ยังเป็นบุคคลที่ถูกออกหมายจับในคดีร่วม นปช.ก่อการร้าย และคดีอาญาอื่น ๆ รวมทั้งคดีที่ศาลมีคำพิพากษาจำคุกแล้ว อันเป็นการกระทำที่ ขัดต่อระเบียบข้อบังคับกระทรวงการต่างประเทศ ว่าด้วยการออกหนังสือเดินทาง พ.ศ.2548 ข้อ 21 (2) (3) และ (4) ทำให้กระทรวงการต่างประเทศ เสียหาย
โดยคดีนี้ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้มีคำพิพากษาไปเมื่อวันที่ 19 มิ.ย 61 องค์คณะผู้พิพากษาเสียงข้างมากพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 123/1 ซึ่งเป็นการกระทำกรรมเดียวที่ผิดต่อกฎหมายหลายบท
จึงให้ลงโทษตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 123/1 ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดโดยให้จำคุกจำเลย เป็นเวลา 2 ปี ขณะที่พิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีแล้ว เห็นว่าการกระทำความผิดของจำเลยมีเจตนาช่วยเหลือผู้ต้องโทษตามคำพิพากษาของศาลซึ่งหลบหนีให้สามารถเดินทางในต่างประเทศได้สะดวก และเป็นผลบั่นทอนความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมาย จึงไม่มีเหตุสมควรรอการลงโทษ
ต่อมา นายสุรพงษ์ อดีต รมว. ต่างประเทศจำเลยได้ยื่นอุทธรณ์คําพิพากษาดังกล่าวต่อที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา ซึ่งวันนี้ นายสุรพงษ์ จำเลยได้เดินทางมาพร้อมกับญาติ คนใกล้ชิด และทนายความ พร้อมฟังคำพิพากษา ซึ่งเดินทางมาถึงศาลฎีกาตั้งแต่เวลา 08.00 น. ก่อนถึงกำหนดนัดอ่านคำพิพากษาอุทธรณ์เวลา 11.00 น. โดย "นายสุรพงษ์" สวมเสื้อผ้าชุดขาวนั่งรถเข็น สวมหน้ากากอนามัยและแว่นตาดำ พร้อมกับสวมหมวกด้วยเนื่องจากมีอาการป่วยหนัก ซึ่งในการฟังคำพิพากษานี้ศาลก็ได้จัดชุดเจ้าหน้าที่พยาบาลไว้เพื่อเตรียมความพร้อมกรณีมีเหตุฉุกเฉินด้วย
ขณะที่ องค์คณะชั้นวินิจฉัยอุทธรณ์ 9 คนพิเคราะห์พยานหลักฐานต่างๆแล้ว เห็นว่าอุทธรณ์ของจำเลย ทั้งข้อกฎหมายและข้อเท็จจริงใน 6 ประเด็นนั้นฟังไม่ขึ้น จึงพิพากษาว่า นายสุรพงษ์จำเลย มีความผิดส่วนที่จำเลยได้ยื่นอุทธรณ์ขอให้ลงโทษสถานเบานั้น องค์คณะฯ เห็นว่า การกระทำของจำเลยเป็นการขัดขวางกระบวนการยุติธรรมส่วนหนึ่ง เนื่องจากการกระทำนั้นทำให้นายทักษิณ เกิดความสะดวกในการเดินทางไปทางไปต่างประเทศทั้งที่ศาลได้มีคำพิพากษาคดีถึงที่สุดให้จำคุกในคดีที่ดินรัชดาภิเษก และในขณะนั้นก็มีหมายจับในคดีอื่นๆ ด้วย จึงไม่มีเหตุลดโทษ
ส่วนที่จำเลยขอให้รอการลงโทษนั้น เมื่อพิเคราะห์พฤติการณ์ตามที่จำเลยได้อุทธรณ์ว่าระหว่างพิจารณาคดีได้ส่งผลต่อสุขภาพ จำเลยมีอาการป่วยเป็นเบาหวาน โรคหัวใจ และไขมันในเลือด รวมทั้งมะเร็งซึ่งได้ลุกลามไปยังต่อมน้ำเหลืองที่คอและท้อง ขณะเดียวกันจำเลยก็มีอายุมากแล้ว องค์คณะฯจึงเห็นควรให้โอกาส
โดย องค์คณะฯ มีมติเสียงข้างมาก พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำคุกจำเลย 2 ปี โดยโทษจำคุกนั้นรอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี แต่ให้มีโทษปรับในความผิดนี้ด้วยเป็นเงิน จำนวน 100,000 บาท ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลัง องค์คณะวินิจฉัยชั้นอุทธรณ์ได้อ่านคำพิพากษาอุทธรณ์เสร็จสิ้นแล้วญาติของนายสุรพงษ์จำเลย ก็ได้เตรียมเงินชำระค่าปรับแล้ว