มงคลกิตติ์เผย มี 7 พรรค พร้อมถอนตัวร่วมรัฐบาล ชี้อุตตม-สนธิรัตน์ไม่มีความสามารถงานการเมือง

หลังมีกระแสข่าวว่า 3 ใน 10 พรรคการเมืองที่เคยประกาศสนับสนุนพรรคพลังประชารัฐเป็นพรรคแกนนำจัดตั้งรัฐบาล และโหวตให้ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี จะถอนตัวออกจากการร่วมรัฐบาล โดยหนึ่งในนั้นมี มงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ ส.ส. บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์รวมอยู่ด้วยนั้น

ล่าสุดมงคลกิตติ์เปิดเผยว่า เรื่องดังกล่าวเป็นความจริง โดยตนเองได้รับฉันทานุมัติ ไม่ใช่แค่ 3 พรรคการเมือง แต่เวลานี้มี 5 พรรคการเมืองแล้ว และยังเหลืออีก 2 พรรคการเมืองที่อยู่ในระหว่างการตัดสินใจ ซึ่งคาดว่าจะตัดสินใจในทิศทางเดียวกัน เนื่องจากที่ผ่านมาทาง 10 พรรคการเมือง ได้พยายามอย่างยิ่งที่จะให้รัฐบาลเดินหน้าไปได้ แม้แต่เก้าอี้ในฝ่ายบริหารทุกพรรคก็ยอมเสียสละ เพื่อไม่ให้เกิดแรงกระเพื่อมต่อการตั้งรัฐบาล แต่ท้ายที่สุดนโยบายของ 10 พรรค แม้จะถูกเขียนไว้ แต่ก็เป็นเสมือนการเขียนเพียงเพื่อหลอกให้พวกตนดีใจ เหมือนว่ามีให้แล้ว แต่กลับไม่ได้รับโอกาสเข้าไปผลักดันนโยบายในฝ่ายบริหารเลย

สำหรับ 5 พรรคการเมืองที่ชัดเจนแล้วว่ามีจุดยืนเดียวกันในการถอนตัวร่วมรัฐบาลก็คือ พรรคไทยศรีวิไลย์ พรรคพลังไทยรักไทย พรรคประชาธิปไตยใหม่ พรรคครูไทยเพื่อประชาชน พรรคประชาธรรมไทย

หัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ยังกล่าวอีกว่า หากย้อนกลับไปเมื่อครั้ง 11 พรรคการเมือง ในเวลานั้นได้ร่วมกันประกาศสนับสนุน พล.อ. ประยุทธ์ เป็นนายกฯ โดยมี อุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรพลังประชารัฐ และ สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรค มาร่วมรับมอบการลงนามการประกาศในวันนั้นอย่างเป็นทางการ มีการพูดคุยแนวทางการทำงาน ซึ่งในความเป็นจริงการมีจำนวน ส.ส. ถึง 10 คน ควรจะได้เก้าอี้รัฐมนตรี 2 ที่นั่ง หากคำนวณตามสัดส่วนที่บางพรรคมี ส.ส. แค่ 3 คน ยังได้เป็นรัฐมนตรีว่าการถึง 1 กระทรวง มาถึงวันนี้ สิ่งที่ให้คำมั่นกันไว้ในการทำงานก็ไม่เป็นไปตามที่พูด แม้ว่าทั้ง 10 พรรค ได้ยอมตามเงื่อนไขทุกอย่าง ทำให้เห็นชัดว่า อุตตมและสนธิรัตน์ไม่มีความสามารถในการบริหารงานทางการเมือง เมื่อทั้ง 10 พรรค ตั้งรัฐบาลให้แล้ว ไม่เห็นประโยชน์ จากนี้ก็ต้องพิจารณาแนวทางในการทำงานร่วมกัน

"ขอสนับสนุนให้พรรคฝ่ายค้านยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ ครม. ทั้งคณะ และพวกเราก็พร้อมที่จะยกมือโหวตให้ฝ่ายค้านด้วย ถ้าเรื่องที่อภิปรายชัดเจนว่าไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ส่วนเสถียรภาพรัฐบาลต่อจากนี้ก็ขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการของหัวหน้าพรรคและเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ ว่าจะมีความสามารถในการบริหารงานการเมืองแค่ไหน" มงคลกิตติ์กล่าว