เชื่อทักษิณได้มั๊ย? เราไม่เคยคิดดึงฟ้าต่ำ เรามีแต่ยกฟ้าสูง” ตอบชัดอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้หรือไม่!
"เป็นเรื่องของพรรค ไม่ใช่ของผม ผมอยู่เมืองนอกในฐานะผู้สังเกตการณ์ เป็นกองเชียร์เฉย ๆ" เขาปฏิเสธ
การเสนอชื่อทูลกระหม่อม "โดยพรรค" ต้องสะดุดกึกในเวลา 13 ชั่วโมงต่อมา เมื่อ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร มีพระราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า "การนำสมาชิกชั้นสูงในพระบรมราชวงศ์มาเกี่ยวข้องกับระบบการเมือง ไม่ว่าจะโดยทางใดก็ตาม... ถือเป็นการกระทำที่มิบังควร ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง"
"เราไม่เคยคิดดึงฟ้าต่ำ เรามีแต่ยกฟ้าสูง แต่บังเอิญว่ามันเป็นเรื่องที่ท่านทรงสละ ต้องมองให้ดีว่าท่านรักบ้านเมือง รักประชาชน ท่านอยากทรงเสียสละที่จะมาทำงานให้บ้านเมือง ในเมื่อว่าพระเจ้าอยู่หัวท่านบอกว่าไม่ได้ ไม่ได้ก็ท่านก็จบ ไม่ได้ ท่านก็ไม่ได้ว่าอะไร มันก็ควรจะเป็นอย่างนั้น อย่าไปคิดว่าดึงฟ้าต่ำ คนที่ดึงฟ้าต่ำจริง ๆ ไม่ใช่ผมหรอก ผมมีแต่ยกย่องเทิดทูน แน่นอน"
หากแต่เพียงปรากฏการณ์ 8 กุมภาฯ ไม่ได้เกิดขึ้น ผลการนับคะแนนเลือกตั้งเมื่อ 24 มีนาฯ คงไม่ประหลาด จนทำให้พรรคการเมืองฝ่ายหนุนและต้านทหารพากันอ้างชัยชนะชิงประกาศเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล เพราะผู้สมัคร ส.ส. ของพรรคการเมืองที่ถูกมองว่าเกี่ยวโยงกับนายทักษิณ คงพากันตบเท้าเข้าสภา คว้าชัยชนะล้นหลาม มีน้ำหนักมากพอคานกับ 250 สมาชิกวุฒิสภาที่คาดว่าจะสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีอีกสมัย
เมื่อพรรคเพื่อไทยกลายเป็นผู้เล่นหลักในสมรภูมิการเมือง กับฝ่ายสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ และคะแนนที่ชนะพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ก็ไม่ขาดลอย อดีตนายกรัฐมนตรีผู้ยังเป็นที่นิยมในหมู่คนชนบท มองผลคะแนนที่ออกมาอย่างไร
"มันมีความผิดปกติเยอะ... ในหลายพื้นที่... และการนับคะแนนมันควรจะครบ 100% นานแล้วแต่ก็ไม่เสร็จ... มันเหมือนรอเปลี่ยนตัวเลขกันอยู่" อดีตนายกรัฐมนตรี และอดีตหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ที่คุ้นชินกับการคว้าชัยชนะทางการเมืองแบบถล่มทลายระบุ
นักธุรกิจที่สร้างความร่ำรวยจากธุรกิจผูกขาดการให้บริการโทรศัพท์มือถือในเมืองไทยในระยะเริ่มต้นของเทคโนโลยีนี้ ไม่เชื่อว่าคนไทยไปเลือกพรรคที่มีทหารหนุนหลัง เพราะต้องการเห็นความสงบของบ้านเมือง เขาเชื่อว่าปัญหาที่คนไทย 80% เป็นกังวลคือเรื่องเศรษฐกิจ ส่วนคนที่ห่วงเรื่องความไม่สงบนั้นมีน้อย
"ความสงบเพราะทหารมีอำนาจแล้ว หรือไม่สงบเพราะทหารยังไม่มีอำนาจ ส่วนใหญ่ทหารเป็นคนกำหนดว่าจะให้สงบหรือไม่สงบ ที่สงบโดยไม่มีอนาคตนี่ มันก็ไม่ใช่ว่าจะดี"
นายทักษิณ ขอร้องผู้อยู่ในอำนาจว่า อย่าได้มองเขาในแง่ลบ อย่ามองเขาเป็นศัตรู แต่ขอให้มองเขาเป็นคนที่ "น่าจะเป็นประโยชน์ต่อบ้านเมือง"
"ผมไม่ต้องใช้คำพูดว่า เจรจา ใช้คำพูดว่า ถ้าผมจะเป็นอะไรจะเป็นประโยชน์ต่อบ้านเมืองก็คุยกันได้ แค่นั้นเอง อย่าไปมองผมเป็นศัตรู... ขอให้คิดอย่างเดียวว่าผมเป็นคนไทยคนหนึ่ง และเคยเป็นอดีตนายกฯ รักบ้านเมือง รักประชาชน รักพระเจ้าอยู่หัว มีอะไรจะใช้ก็บอกกันมา ก็แค่นั้นเอง"
ทว่า เมื่อมาถึงคำถามถึงความเป็นไปได้ที่จะกลับมาพิสูจน์ความบริสุทธิ์ในอย่างน้อย 6 คดีที่ถูกกล่าวหา นายทักษิณขอเป็นฝ่ายตั้งคำถามกลับว่า "พิสูจน์ความยุติธรรมกันก่อนได้ไหม"
"ตั้งแต่กระบวนการ เอาศัตรูผมทั้งนั้นมานั่งเป็นกรรมการสอบสวน แล้วมันแฟร์ (ยุติธรรม) ตรงไหนอะ มันไม่แฟร์แต่ต้น"
เขาตัดบทจบการพูดคุยก่อนจะลุกไปจากห้องสนทนา