ทักษิณ ชินวัตร กับ 3 ความผิดพลาดราคาแพง เรื่องนี้ต้องอ่าน
หน้าแรกTeeNee ที่นี่ข่าววันนี้, ข่าวหน้าหนึ่ง ข่าวการเมือง ทักษิณ ชินวัตร กับ 3 ความผิดพลาดราคาแพง เรื่องนี้ต้องอ่าน
บ่อยครั้งที่การบริหารประเทศ และการเดินเกมการเมือง ของนายทักษิณ ชินวัตร ถูกเปรียบเปรยกับการดำเนินกิจการในฐานะ "นักธุรกิจ" กล้าได้และกล้าเสีย เราเห็นเขาก้าวขึ้นมาเป็นนักการเมืองที่พลิกประวัติศาสตร์การเมืองไทยสมัยใหม่ ชนะการเลือกตั้งอย่างถล่มทลายหลายครั้ง แต่ขณะเดียวกันก็ต้อง "พ่ายแพ้" เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการถูกก่อรัฐประหารยึดอำนาจเมื่อปี 2549 และอีกครั้งในสมัยของนางสาวยิ่งลักษณ์ น้องสาว ในปี 2557
นี่คือ 3 เหตุการณ์ที่หลายฝ่ายมองว่าอดีตนายกรัฐมนตรีผู้นี้ "คำนวณเกม" พลาด กลายเป็นผลร้ายใหญ่หลวง
1.ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนฯ ในสนามการเมือง
ในช่วงเวลาสั้น ๆ การเสนอพระนามทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี เป็นนายกรัฐมนตรีในบัญชีของพรรคไทยรักษาชาติ (ทษช.) เมื่อ 09:10 น. ของวันที่ 8 ก.พ. ดูเป็นหมากสำคัญของนายทักษิณ ในเกมการแข่งขันเลือกตั้งในครั้งนี้ ซึ่งหลายฝ่ายมองว่า รัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 ถูกออกแบบมาเพื่อให้คณะรัฐประหารได้ สืบทอดอำนาจต่อ โดยมี พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ตอบรับการเป็นนายกรัฐมนตรีในบัญชีของพรรคพลังประชารัฐ
13 ชั่วโมงผ่านไป ในวันเดียวกัน สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร มีพระราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้ประกาศว่า "การนำสมาชิกชั้นสูงในพระบรมราชวงศ์มาเกี่ยวข้องกับระบบการเมือง ไม่ว่าจะโดยทางใดก็ตาม ...ถือเป็นการกระทำที่มิบังควร ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง"
ไม่ถึง 1 สัปดาห์ต่อมา คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีมติเอกฉันท์ 13 ก.พ. ให้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้พิจารณาวินิจฉัยมีคำสั่งยุบ ทษช. โดยเห็นว่า "กระทำการอันอาจเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุข"
ไม่ถึง 24 ชั่วโมงต่อมาสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญออกเอกสารข่าวชี้แจงว่า ศาลรัฐธรรมนูญ มีมติเอกฉันท์รับคำร้องพิจารณาวินิจฉัยยุบ ทษช. ตามที่ กกต. ยื่นคำร้องให้วินิจฉัยยุบพรรค ทษช. ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง 2560 มาตรา 92
ศาลรัฐรรมนูญให้เวลาพรรค ทษช. ยื่นชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาภายใน 7 วัน นับแต่วันที่ได้รับสำเนาคำร้อง มิฉะนั้น ให้ถือว่าไม่ติดใจยื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา ก่อนที่ศาลจะออกนั่งพิจารณาครั้งต่อไปในวันที่ 27 ก.พ.
2. พ.ร.บ. นิรโทษกรรมฉบับ "เหมาเข่ง"
ร่างกฎหมาย "นิรโทษกรรมเหมาเข่ง" หรือ "นิรโทษกรรมฉบับสุดซอย" มีชื่ออย่างเป็นทางการคือ "ร่าง พระราชบัญญัติ (พรบ.)นิรโทษกรรมแก่ผู้ซึ่งกระทำความผิดเนื่องจากการชุมนุมทางการเมือง การแสดงออกทางการเมืองของประชาชน"
เว็บไซต์ ของสถาบันพระปกเกล้าอธิบายว่าร่างกฎหมายนี้ เป็นจุดพลิกผันสำคัญอันนำไปสู่การประกาศยุบสภาของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในวันที่ 9 ธ.ค. 2556 อันเนื่องมาจากกระแสต่อต้านร่าง พ.ร.บ. ฉบับที่เสนอโดยนายวรชัย เหมะ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย และคณะ เนื่องมาจากร่าง พ.ร.บ. ที่นำเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรในวาระที่ 2 นั้น เป็นร่างที่คณะกรรมาธิการเสียงข้างมากได้แก้ไขเนื้อหาจากร่าง พ.ร.บ. ฉบับเดิมของนายวรชัย เหมะ ที่มีวัตถุประสงค์ต้องการนิรโทษกรรมผู้ต้องขังจากคดีเผาศาลากลางจังหวัดจากเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมืองในปี 2553
ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ประกอบด้วย 7 มาตรา คณะกรรมาธิการเสียงส่วนใหญ่เป็นฝ่ายรัฐบาลได้แก้ไขมาตรา 3 และมาตรา 4 ซึ่งถือเป็นหัวใจหลักของร่าง พ.ร.บ. ดังกล่าวให้มีผลนิรโทษกรรมครอบคลุมหลายฝ่าย ทั้ง "ฝ่ายพันธมิตรฯ และฝ่าย นปช." ที่สำคัญยังรวมถึง "พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ" ซึ่งกรณีหลังนี้ทำให้เกิดเสียงคัดค้านจากหลายฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นญาติผู้สูญเสียจากเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมืองปี 2553 พรรคฝ่ายค้าน องค์กรฮิวแมนไรท์วอทช์ รวมทั้งแกนนำ นปช. และกลุ่มคนเสื้อแดง ซึ่งเท่ากับเป็นการนิรโทษกรรมให้แก่คดีอาญา "ฆ่า-เผา" และ "ผู้ทุจริตคอร์รัปชั่น" ด้วย
การเดินเกมดังกล่าวไม่เพียงทำให้เกิดเสียงคัดค้านจากทั้งพรรคประชาธิปัตย์ แต่เป็นการทำลายศรัทธาของฝ่ายผู้สนับสนุนทักษิณเองด้วยเนื่องจากร่างพรบ.นี้จะทำให้ผู้รับผิดชอบต่อการสลายการชุมนุมเมื่อปี 2553 พ้นจากความผิด
หลังจากนั้น แม้ว่า น.ส. ยิ่งลักษณ์ ประกาศยุบสภาผู้แทนราษฎรและให้มีการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 2 ก.พ. 2557 การต่อต้านการผ่านร่าง พ.ร.บ. นิรโทษกรรมฉบับ "เหมาเข่ง" ก็ได้ยกระดับเป็นปฏิบัติการขับไล่รัฐบาล นำโดย 8 ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ที่ถอดสูท-ทิ้งสภา-เดินหน้าสู่ถนนนำมวลชนที่เรียกตัวเองว่า "คณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข" (กปปส.) ภายใต้การนำของ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ
ยุทธวิธีมากมายของ กปปส. ตั้งแต่การเข้ายึดสถานที่ราชการหลายแห่ง, เปิดปฏิบัติการ "ชัตดาวน์กรุงเทพฯ", ตั้ง 7 เวทีชุมนุมใหญ่ใจกลางกรุงเทพฯ ไปจนถึงการปิดล้อมคูหาเลือกตั้ง ซึ่งทำให้การเลือกตั้งปี 2557 เป็นโมฆะ ล้วนแล้วเป็นแรงกดดันให้คณะทหารในชื่อ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ขณะนั้น เข้ายึดอำนาจในที่สุด
3. ขายหุ้นให้เทมาเส็ก
23 ม.ค. 2549 ตระกูลชินวัตรและดามาพงศ์ประกาศขายหุ้นในบริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ให้แก่บริษัทเทมาเส็ก โฮลดิ้งส์ (พีทีอี) จำกัด ซึ่งเป็น กองทุนเพื่อการลงทุนของรัฐบาลสิงคโปร์ จำนวน 1,487 ล้านหุ้น รวมเป็นเงิน 73,271 ล้านบาท โดยไม่เสียภาษี ทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากในสังคมไทย และถือเป็นแรงผลักดันสำคัญของการเคลื่อนไหวขับไล่นายทักษิณให้ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งนำไปสู่การยุบสภาผู้แทนราษฎรในเดือนถัดมา และการรัฐประหารเมื่อ 19 ก.ย. 2549
การตรวจสอบกรณีดังกล่าวเริ่มต้นหลังรัฐประหาร โดยคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) ซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ ซึ่งสรุปผลการตรวจสอบว่า การขายหุ้นในกรณีดังกล่าวเข้าข่ายเป็นความผิดฐานร่ำรวยผิดปกติและความผิดตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)
วันที่ 26 ก.พ. 2553 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีมติเสียงข้างมากว่า นายทักษิณใช้อำนาจนายกรัฐมนตรีเอื้อประโยชน์กับชินคอร์ป 5 กรณี โดยสั่งยึดทรัพย์ 4.6 หมื่นล้านบาท พร้อมดอกผล
การขายหุ้นโดยไม่ต้องเสียภาษีผิดหรือไม่จะเป็นคำถามที่ไม่มีข้อสรุปจนถึงปัจจุบัน และขึ้นอยู่กับมุมมองของผู้ที่สนับสนุนหรือต่อต้านนายทักษิณ ในขณะที่ฝ่ายหนึ่งมองว่า เงินที่ได้จากการขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์นั้นได้รับยกเว้นภาษีตามกฎกระทรวงฉบับที่ 126 ข้อ 23 ที่ออกตามประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร ฝ่ายตรงข้ามก็มองว่าเป็นการใช่ช่องโหว่ของกฎหมาย และารประกาศใช้บังคับ พ.ร.บ.การประกอบกิจการโทรคมนาคม (ฉบับที่ 2) 2549 เพื่อขยายสัดส่วนการถือครองหุ้นในกิจการโทรคมนาคมของต่างประเทศ จากเดิมไม่เกิน 25% เป็นไม่เกิน 50% ก่อนการขายหุ้นชินคอร์ปไม่กี่วัน ก็ดูจะไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
ไม่ว่านี่จะเป็น "การอาศัยช่องโหว่ทางกฎหมาย" หรือ "การถูกกลั่นแกล้ง" ไม่สามารถปฏิเสธได้ว่ากรณีการขายหุ้นในครั้งนี้มีผลทำให้กระแสความคิดของฝ่ายที่วิพากษ์วิจารณ์ว่ารัฐบาลของนายทักษิณ "ทุจริต" และ "ขายชาติ" แข็งแรงขึ้น นำไปสู่การคว่ำบาตรการเลือกตั้งของพรรคฝ่ายค้าน และศาลรัฐธรรมนูญได้ตัดสินให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะ และการก่อรัฐประหารที่ทำให้การประท้วงขับไล่นายทักษิณ สิ้นสุดลง
เส้นทางเก็บภาษีหุ้นชินคอร์ปจากทักษิณ
23 ม.ค.2549 นายทักษิณขายหุ้นชินคอร์ปให้กับกองทุนเทมาเส็ก จำนวน 1,487 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 49.25 บาท รวมเป็นเงินกว่า 73,271 ล้านบาท หลังซื้อมาจากบริษัท แอมเพิ้ลรัช จำกัด ในราคาเพียงหุ้นละ 1 บาท
หน่วยงานรัฐเคยเห็นต่างเรื่อง "อายุความ" โดยกรมสรรพากรมองว่า หมดไปตั้งแต่วันที่ 31 มี.ค.2555 เนื่องจากกรณีที่ผู้เสียภาษีมาเสียภาษีเงินได้ไม่ครบถ้วน ประมวลรัษฎากรให้กรมสรรพากรออกหมายเรียกมาไต่สวนภายใน 5 ปี ซึ่งที่ผ่านมา ไม่เคยมีการออกหมายเรียกนายทักษิณมาไต่สวนแต่อย่างใด
13 มี.ค.2560 นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ เรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาประชุม และเห็นว่ากรมสรรพากรเคยออกหมายเรียกนายพานทองแท้ และ น.ส.พิณทองทา ชินวัตร นอมินีที่ถือหุ้นแทนนายทักษิณ มาไต่สวนเมื่อปี 2555 ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 820 - 821 ให้ถือว่าเคยออกหมายเรียกนายทักษิณมาไต่สวนแล้ว และทำให้อายุความขยายมาจนถึง 31 มี.ค. 2560
นอกจากนี้ กรมสรรพากรยังสามารถประเมินภาษีนายทักษิณได้ โดยไม่ต้องออกหมายเรียกมาไต่สวนอีก และทันทีที่ส่งหนังสือประเมินให้นายทักษิณ "อายุความ" ก็จะหยุดลง
พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ขณะนั้น อ้างคำพูดของนายวิษณุที่รายงานเรื่องนี้ต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 14 มี.ค.2560 ว่าเรื่องนี้ถือเป็น "อภินิหารทางกฎหมาย"
แม้ต่อมา นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ทีมกฎหมายพรรคเพื่อไทย จะโต้แย้งว่า ศาลภาษีอากรกลางเคยสั่งเพิกถอนหมายเรียกนายพานทองแท้และ น.ส.พิณทองทามาไต่สวน ทำให้อายุความสิ้นสุดลงไปนานแล้ว ก็ตาม
28 มี.ค.2560 เจ้าหน้าที่จากกรมสรรพากรนำหนังสือแจ้งประเมินภาษีการขายหุ้นชินคอร์ปของนายทักษิณ รวมเป็นเงินกว่า 17,629 ล้านบาท ไปติดไว้บริเวณหน้าบ้านพักของนายทักษิณ
25 เม.ย. 2560 ทีมทนายของนายทักษิณ ยื่นอุทธรณ์การประเมินภาษี
7 พ.ย. 2561 นายยุทธนา หยิมการุณ รองปลัดกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงกรณีกรมสรรพากรละเว้นการประเมินเก็บภาษี นายทักษิณ เผยว่า ได้ส่งหนังสือให้กรมสรรพากรชี้แจงเรื่องดังกล่าว และติดตามผลต่อเนื่องเพื่อสรุปผลสอบให้ได้ภายในปีนี้
14 ก.พ. 2562 ยังไม่มีความคืบหน้าเรื่องนี้
เครดิต :
ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!" ประกาศ "
ร่วมแสดงความคิดเห็น