นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เขียนบทความเรื่อง หุ้นรัฐมนตรี หนึ่งปีรัฐประหารกับ ผบ.ทบ.ใหม่ ลงในเว็บไซต์ www.abhisit.org ระบุว่า
สิ่งที่น่าผิดหวังในรอบหนึ่งปีที่ผ่านมา คือการแก้ปัญหาพื้นฐานเกี่ยวกับการเมืองไม่ได้ทำเป็นระบบ มีแต่การดูถูกดูแคลนหวาดระแวงนักการเมือง โดยสะท้อนผ่านการเขียนรัฐธรรมนูญและกฎหมายลูก สำหรับกองทัพและ คมช.นั้น สิ่งหนึ่งที่จะสามารถสร้างความมั่นใจได้คือท่าทีของ ผบ.ทบ.คนใหม่ หากจะใช้จังหวะนี้ทบทวนกฎหมายความมั่นคงซึ่งเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันว่าเป็นเครื่องมือสำคัญในการสืบทอดอำนาจ หรือสร้างระบอบอำมาตยาธิปไตย โดยรอหารือรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ก็จะทำให้ความชัดเจนของคมช.และกองทัพที่จะฟื้นฟูประชาธิปไตยมีมากขึ้น และตั้งเป้าหมายที่จะยกเลิกกฎอัยการศึกก่อนการเลือกตั้ง ยกเว้นในพื้นที่ที่มีปัญหาความไม่สงบจริงๆ ก็จะเป็นคำตอบที่ดีที่สุดว่า คมช. สามารถทำให้สถานการณ์กลับคืนสู่สภาวะปกติ โดยไม่มีการใช้กฎหมาย หรืออำนาจพิเศษ หากเริ่มต้นได้อย่างนี้ 3 ปี ของ ผบ.ทบ.คนใหม่จะเป็น 3 ปี ในการนำพากองทัพกลับเข้าสู่การปฏิบัติภารกิจที่สำคัญ มีเกียรติ ภายใต้ รัฐธรรมนูญได้อย่างดียิ่ง
ชื่นชม “สิทธิชัย” สปิริตสูง
นายอภิสิทธิ์ระบุด้วยว่า การชี้แจงของรัฐบาลหลายครั้ง มีสิ่งหนึ่งซึ่งมักมีการอ้างถึงเสมอ คือเรื่องที่ว่าอย่างน้อยรัฐบาลนี้ก็เป็นรัฐบาลที่สุจริต มีคุณธรรม จริยธรรม แต่ตอนนี้มีเรื่อง “หุ้นรัฐมนตรี” ที่กลายเป็นบททดสอบสำคัญ การตัดสินใจของนายสิทธิชัย โภไคยอุดม รมว.ไอซีที เพื่อรักษามาตรฐานของรัฐมนตรี จึงสมควรแก่การชื่นชม เป็นแบบอย่างทางการเมือง แม้โดยส่วนตัวจะไม่เห็นด้วยกับหลายสิ่งที่นายสิทธิชัยทำในขณะดำรงตำแหน่ง แต่ก็เป็นรัฐมนตรีในจำนวนไม่กี่คนที่รู้ร้อนรู้หนาวกับปัญหาภารกิจในความรับผิดชอบชัดเจน ตั้งแต่ ปัญหาธุรกิจโทรคมนาคม ปัญหาเว็บไซต์ยูทิวป์ “ผมไม่แน่ใจว่าคนที่จะเข้ามารับผิดชอบงานของท่านจะกระตือรือร้นเหมือนท่านหรือไม่ ที่น่าอัศจรรย์คือรัฐมนตรีที่อยู่ในข่ายเดียวกับนายสิทธิชัย แต่ไม่ตัดสินใจเหมือนท่าน โดยมีข้ออ้างต่างๆนานา จริงหรือที่หากรัฐมนตรีคนใดคนหนึ่งไม่อยู่ในตำแหน่งแล้ว การบริหารบ้านเมืองจะเดินต่อไม่ได้ ผมคิดว่าประเทศไทย การเมืองไทยเดินหน้าได้ ไม่มีนักการเมืองหรือผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองคนไหนที่จำเป็นต้องอยู่ในตำแหน่ง ผมไม่เชื่อว่า 3-4 เดือนที่เหลือของรัฐมนตรีที่ยังอยู่จะสร้างผลงานที่มีคุณค่าต่อประเทศมากกว่าการช่วยรัฐบาลนี้ยกระดับมาตรฐานทางการเมือง”