ตำแหน่งสำคัญอื่นๆ ในอดีต อาทิ เจ้ากรมยุทธการทหารบก รองเสนาธิการทหารบก เสนาธิการทหารบก กระทั่งมาเป็นผู้บัญชาการทหารบกในปี 2529 โดยปีถัดมาก็ควบถึง 2 ตำแหน่งคือผู้บัญชาการทหารบก และรักษาการผู้บัญชาการทหารสูงสุด และก่อนอำลาอาณาจักรเท้าบู๊ต ก็ได้ดูแลโครงการใหญ่โครงการหนึ่งที่แทบจะเรียกได้ว่ากลายมาเป็นฐานเสียงสำคัญตราบจนทุกวันนี้ นั่นคือ 'โครงการอีสานเขียว' ทำให้เป็นที่รักของชาวอีสานเรื่อยมา กระทั่งได้รับฉายาที่เรียกกันจนติดปากว่า 'พ่อใหญ่จิ๋ว' โดยนักวิเคราะห์เองเคยวิจารณ์ว่า 'โครงการอีสานเขียว' เป็นส่วนหนึ่งที่ส่ง พล.อ.ชวลิต ขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
จากนั้นจึงเข้าสู่วงการการเมือง โดยลาออกจากตำแหน่งก่อนเกษียณอายุราชการ ปี 2533 โดดมาเป็นรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ในสมัยรัฐบาลพล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ
ก่อนที่จะลาออกจากตำแหน่งในวันที่ 11 มิ.ย.ปีเดียวกัน กระทั่งปี 2535 มาก่อตั้งพรรคการเมืองของตนเอง ชื่อ 'พรรคความหวังใหม่' โดยมี 'ดอกทานตะวัน' เป็นสัญลักษณ์ที่โดดเด่น และติดตาจนทุกวันนี้ หลังเหตุการณ์ 'พฤษภาทมิฬ' ลงสนามเลือกตั้งครั้งแรกได้เป็น ส.ส.นนทบุรี เขต 1 และเข้าร่วมกับรัฐบาลนายชวน หลีกภัย (ชวน 1) จนได้นั่งตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานตามลำดับ ต่อมาเข้าร่วมกับรัฐบาลนายบรรหาร ศิลปอาชา ได้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
กระทั่งเกิดวิกฤติ 'หักดิบ' โดยพรรคร่วมรัฐบาลรวมหัวกันกดดันให้ นายบรรหาร นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ประกาศลาออกจากตำแหน่ง หลังถูกซักฟอกจากพรรคฝ่ายค้าน (พรรคประชาธิปัตย์) อย่างหนัก โดยมีการเตรียมการจะชงให้ พล.อ.ชวลิต ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกฯ ต่อทันที แน่นอนว่า 'บิ๊กเติ้ง' ไม่ยอม จึงประกาศยุบสภาทันที ปล่อย 'บิ๊กจิ๋ว' ฝันค้าง
ก่อนจะกลับเข้าสภาอย่างสง่างามอีกครั้ง ในตำแหน่ง 'นายกรัฐมนตรีคนที่ 22' ระหว่างปี 2539 -2540
และด้วยลีลาการให้สัมภาษณ์ที่นุ่มนวล เรียกขานผู้สื่อข่าวว่า 'หนูๆ ' กับคำลงท้ายน่ารักอย่าง 'นะจ๊ะ' ทำให้เป็นเจ้าของฉายาว่า 'จิ๋วหวานเจี๊ยบ' ต่อมาเกิดวิกฤตเศรษฐกิจครั้งใหญ่ฟองสบู่แตก นายกรัฐมนตรี 'จิ๋ว' ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ พร้อมกับข้อครหา 'เป็นอัลไซเมอร์' เนื่องจากบริหารประเทศแบบหลงๆ ลืมๆ สร้างความไม่พอใจอย่างรุนแรงของประชาชนตั้งแต่ระดับเศรษฐีถึงยาจก จึงตัดสินใจแสดงสปิริตลาออกจากตำแหน่ง ก่อนที่รัฐบาล 'ชวน 2' จะกลับมารับหน้าที่แก้วิกฤตต่อไป
หลังจากนั้น ชีวิตการเมืองของ คนชื่อ 'ชวลิต' ยังไม่หายไปจากวงการมากนัก
ยังคงนำธงดอกทานตะวันสู้ศึกเลือกตั้งต่อไป แต่ก็มาพ่ายแพ้ในยุค 'ทักษิณ ฟีเวอร์' จนถูกนายกรัฐมนตรีคนที่ 23 เข้าเทคโอเวอร์พรรค พร้อมกับเสียงฮัมเพล 'เก็บตะวัน' ของนายเสนาะ เทียนทอง ที่ปรึกษาพรรคไทยรักไทย (ในขณะนั้น) จากนั้นจึงเข้ารับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมอีกครั้ง ก่อนที่จะประกาศวางมือในที่สุด
ก่อนที่จะกลับมาเนื้อหอมอีกครั้ง หลังจากที่หลายพรรค หลายกลุ่มการเมือง อยากจะดึงตัวไปเป็นหัวหน้าพรรค เพราะเป็นหนึ่งในบุคคลที่ไม่ได้ถูกตัดสิทธิทางการเมือง เหมือนกับ 111 กรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย พร้อมกับสโลแกนใหม่ 'ขอเป็นโซ่ข้อกลาง'
ต้องติดตามดูต่อไปว่า พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ จะได้กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ 25 อีกครั้งหรือไม่ และ 'โซ่ข้อกลาง' นี้จะเข้มแข็งจริงอย่างที่คุยไว้ หรือเป็นเพียง 'โซ่ขึ้นสนิม'