ชวลิต ยงใจยุทธ นายกฯคนใหม่ หรือ โซ่ข้อกลาง (ขึ้นสนิม ?)

...ผู้เสนอตัวขอเป็น 'โซ่ข้อกลาง' เชื่อมประสานขั้วขัดแย้งทางการเมือง ลองมาติดตามเส้นทางชีวิตของ 'โซ่ข้อใหญ่' นี้ดูสิว่าดำเนินมาเช่นไรบ้าง แม้จะเป็นขวัญใจคนอีสาน แต่พล.อ.ชวลิต ถือกำเนิดที่กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2475 ปัจจุบันอายุ 75 ปี เป็นบุตรของ ร.อ.ชั้น ยงใจยุทธ กับนางสุรีย์ศรี (ละมุน) ยงใจยุทธ

ชีวิตรักนั้นแต่งงานมาแล้ว 2 ครั้ง ภรรยาคนปัจจุบันก็โด่งดังเป็นที่รู้จักไม่แพ้กัน 'คุณหญิงพันธุ์เครือ ยงใจยุทธ' หรือชื่อเล่นว่า 'หลุยส์' เจ้าของตำนาน 'อุ้มช้าง' โดยเธอเคยเล่าถึงที่มาของชื่อเล่นว่า มาจากนักมวยฝรั่ง 'โจหลุยส์' ที่พ่อชื่นชอบ โดยเธอมีดีกรีระดับนางงามมาการันตี เพราะความที่เป็นลูกครึ่งดัชท์-อินโด จึงคว้าตำแหน่งนางงามมาแล้วหลายรางวัลตั้งแต่นางงามละโว้ ได้ตำแหน่งนางงามตุ๊กตาทอง จนถึงเวทีใหญ่อย่าง 'มิสทีนเอจ' ประจำปี 2497 ก็คว้ามงกุฏมาครองแล้ว ซึ่งจัดเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้าย

หลังบ้านผู้นี้จึงเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการตระเวนไล่ขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพื่อขอให้ช่วยประคองสถานการณ์บ้านเมือง และอีกนัยหนึ่งเพื่อพยุงเก้าอี้นายกรัฐมนตรีของสามี ปัจจุบันมีบุตรด้วยกัน 3 คน เป็นชาย 2 และหญิง 2 คน ได้แก่ คฤกพล, อรพิน, ศรีสุภางค์ และชิดพันธุ์

การศึกษาเรียนจบจากโรงเรียนในวังบูรพา มัธยมอุดมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา 2492 แล้วไปเข้าโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า 'จปร.รุ่น 1' ด้วยความที่เก่งคำนวณ เลยโดนจับไปอยู่เหล่าสื่อสาร และเป็นบุคคลแรกๆ ที่แต่งตำราการซ่อมโทรทัศน์ เรียนเก่งมากจนสามารถข้ามน้ำข้ามทะเลไปเรียนโรงเรียนเสนาธิการทหารบกของสหรัฐฯ (The United States Military Academy - USMA, West Point ) ได้อย่างภาคภูมิ ก่อนจบปริญญาเอก ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์นิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเปปเปอร์ไดน์ สหรัฐอเมริกา ตบท้ายด้วยปี 2530 จบปริญญาเอก ศิลปศาสตร์ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร

ประวัติการทำงาน เป็นว่าที่ร้อยตรี กองทัพบก เมื่อปี 2497 จนติดหนึ่งดาวได้สำเร็จปี 2498 เคยเป็นผู้บังคับกอง กองร้อยซ่อมบำรุงเครื่องสื่อสารเขตหลัง กรมการทหารสื่อสาร และไต่เต้าตามลำดับมาเรื่อย เคยผ่านศึกสงครามในสมรภูมิมาแล้ว โดยปี 2494 ไปราชการพิเศษปราบ 'จลาจล 29 มิ.ย.2494' ราชการพิเศษปราบปรามการรุกรานของฝ่ายคอมมิวนิสต์ ระหว่างปี 2508-2509 ต่อด้วยสงครามเวียดนาม ในตำแหน่งทหารฝ่ายยุทธการ และการฝึกของกรมทหารอาสาสมัคร หรือรุ่น 'จงอางศึก' และนับว่าเป็นผู้ริเริ่มจัดตั้งอาสาสมัครทหารพราน เอามาปราบ ผกค. แบบ 'จรยุทธปราบจรยุทธ' เป็นผลสำเร็จ

ตำแหน่งสำคัญอื่นๆ ในอดีต อาทิ เจ้ากรมยุทธการทหารบก รองเสนาธิการทหารบก เสนาธิการทหารบก กระทั่งมาเป็นผู้บัญชาการทหารบกในปี 2529 โดยปีถัดมาก็ควบถึง 2 ตำแหน่งคือผู้บัญชาการทหารบก และรักษาการผู้บัญชาการทหารสูงสุด และก่อนอำลาอาณาจักรเท้าบู๊ต ก็ได้ดูแลโครงการใหญ่โครงการหนึ่งที่แทบจะเรียกได้ว่ากลายมาเป็นฐานเสียงสำคัญตราบจนทุกวันนี้ นั่นคือ 'โครงการอีสานเขียว' ทำให้เป็นที่รักของชาวอีสานเรื่อยมา กระทั่งได้รับฉายาที่เรียกกันจนติดปากว่า 'พ่อใหญ่จิ๋ว' โดยนักวิเคราะห์เองเคยวิจารณ์ว่า 'โครงการอีสานเขียว' เป็นส่วนหนึ่งที่ส่ง พล.อ.ชวลิต ขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

จากนั้นจึงเข้าสู่วงการการเมือง โดยลาออกจากตำแหน่งก่อนเกษียณอายุราชการ ปี 2533 โดดมาเป็นรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ในสมัยรัฐบาลพล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ

ก่อนที่จะลาออกจากตำแหน่งในวันที่ 11 มิ.ย.ปีเดียวกัน กระทั่งปี 2535 มาก่อตั้งพรรคการเมืองของตนเอง ชื่อ 'พรรคความหวังใหม่' โดยมี 'ดอกทานตะวัน' เป็นสัญลักษณ์ที่โดดเด่น และติดตาจนทุกวันนี้ หลังเหตุการณ์ 'พฤษภาทมิฬ' ลงสนามเลือกตั้งครั้งแรกได้เป็น ส.ส.นนทบุรี เขต 1 และเข้าร่วมกับรัฐบาลนายชวน หลีกภัย (ชวน 1) จนได้นั่งตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานตามลำดับ ต่อมาเข้าร่วมกับรัฐบาลนายบรรหาร ศิลปอาชา ได้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม

กระทั่งเกิดวิกฤติ 'หักดิบ' โดยพรรคร่วมรัฐบาลรวมหัวกันกดดันให้ นายบรรหาร นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ประกาศลาออกจากตำแหน่ง หลังถูกซักฟอกจากพรรคฝ่ายค้าน (พรรคประชาธิปัตย์) อย่างหนัก โดยมีการเตรียมการจะชงให้ พล.อ.ชวลิต ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกฯ ต่อทันที แน่นอนว่า 'บิ๊กเติ้ง' ไม่ยอม จึงประกาศยุบสภาทันที ปล่อย 'บิ๊กจิ๋ว' ฝันค้าง

ก่อนจะกลับเข้าสภาอย่างสง่างามอีกครั้ง ในตำแหน่ง 'นายกรัฐมนตรีคนที่ 22' ระหว่างปี 2539 -2540

และด้วยลีลาการให้สัมภาษณ์ที่นุ่มนวล เรียกขานผู้สื่อข่าวว่า 'หนูๆ ' กับคำลงท้ายน่ารักอย่าง 'นะจ๊ะ' ทำให้เป็นเจ้าของฉายาว่า 'จิ๋วหวานเจี๊ยบ' ต่อมาเกิดวิกฤตเศรษฐกิจครั้งใหญ่ฟองสบู่แตก นายกรัฐมนตรี 'จิ๋ว' ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ พร้อมกับข้อครหา 'เป็นอัลไซเมอร์' เนื่องจากบริหารประเทศแบบหลงๆ ลืมๆ สร้างความไม่พอใจอย่างรุนแรงของประชาชนตั้งแต่ระดับเศรษฐีถึงยาจก จึงตัดสินใจแสดงสปิริตลาออกจากตำแหน่ง ก่อนที่รัฐบาล 'ชวน 2' จะกลับมารับหน้าที่แก้วิกฤตต่อไป

หลังจากนั้น ชีวิตการเมืองของ คนชื่อ 'ชวลิต' ยังไม่หายไปจากวงการมากนัก

ยังคงนำธงดอกทานตะวันสู้ศึกเลือกตั้งต่อไป แต่ก็มาพ่ายแพ้ในยุค 'ทักษิณ ฟีเวอร์' จนถูกนายกรัฐมนตรีคนที่ 23 เข้าเทคโอเวอร์พรรค พร้อมกับเสียงฮัมเพล 'เก็บตะวัน' ของนายเสนาะ เทียนทอง ที่ปรึกษาพรรคไทยรักไทย (ในขณะนั้น) จากนั้นจึงเข้ารับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมอีกครั้ง ก่อนที่จะประกาศวางมือในที่สุด

ก่อนที่จะกลับมาเนื้อหอมอีกครั้ง หลังจากที่หลายพรรค หลายกลุ่มการเมือง อยากจะดึงตัวไปเป็นหัวหน้าพรรค เพราะเป็นหนึ่งในบุคคลที่ไม่ได้ถูกตัดสิทธิทางการเมือง เหมือนกับ 111 กรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย พร้อมกับสโลแกนใหม่ 'ขอเป็นโซ่ข้อกลาง'

ต้องติดตามดูต่อไปว่า พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ จะได้กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ 25 อีกครั้งหรือไม่  และ 'โซ่ข้อกลาง' นี้จะเข้มแข็งจริงอย่างที่คุยไว้ หรือเป็นเพียง 'โซ่ขึ้นสนิม'