รายงานพิเศษ : ทักษิณ ...บ่อนทำลายหลัก The King Can Do No Wrong!!
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรีโดย ผู้จัดการออนไลน์ 7 เมษายน 2549 15:26 น.
อมรรัตน์ ล้อถิรธร...รายงาน
ด้านหนึ่ง...การเว้นวรรคในตำแหน่งนายกฯ ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อาจได้รับเสียงชื่นชมว่า เป็นการถอยเพื่อความสงบสุขของบ้านเมือง แต่อีกด้าน ปฏิเสธไม่ได้ว่า นี่คือ การรักษาอำนาจของตนไว้โดยผ่านนายกฯนอมินี รวมทั้งเตรียมตั้งตัวแทนนอมินีมาปฏิรูปการเมือง ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า การเลือกเว้นวรรคแทนการลาออกของ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่เพียงทำให้เมืองไทยต้องเผชิญกับฝันร้ายจากระบอบทักษิณต่อไป แต่การเว้นวรรค ยังสร้างหายนะยิ่งใหญ่ ด้วยการทำลายระบบคุณธรรมในสังคมไทย และท้าทายหลัก The King Can Do No Wrong ที่ดำเนินมาอย่างยาวนานอีกด้วย
แม้จะสร้างความประหลาดใจอยู่ไม่น้อยที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ตัดสินใจประกาศเว้นวรรคจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในสมัยหน้า แทบจะทันทีที่รู้ผลเลือกตั้งอย่างไม่เป็นทางการเมื่อวันที่ 4 เม.ย.แต่เมื่อมองถึงสถานการณ์และเหตุปัจจัยต่างๆ แล้ว ก็คงไม่ได้อยู่เหนือความคาดหมายมากมายนัก เพราะหลายคนประเมินตั้งแต่ก่อนเลือกตั้งแล้ว ว่า ต่อให้ประชาชนและกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กดดันแค่ไหน พ.ต.ท.ทักษิณ ก็จะไม่ยอมลาออกแน่ เพราะกลัวถูกมองว่าแพ้ สู้อาศัยการเลือกตั้ง 2 เมษายนฟอกตัวก่อน ว่า ประชาชนยังหนุนตนอยู่ เสร็จแล้วก็สร้างภาพผู้นำที่เสียสละ-ไม่ยึดติดตำแหน่ง เท่ากับว่า เป็นทางลงที่สวยงามที่สุดแล้วของชายชื่อ ทักษิณ เพราะลงจากตำแหน่งเอง ไม่ใช่ให้ใครมาบีบบังคับ
ขณะเดียวกัน พ.ต.ท.ทักษิณ ก็เป็นผู้กำหนดเกมนี้เอง ด้วยการเลือกที่จะเว้นวรรคแทนการลาออก โดย พ.ต.ท.ทักษิณ อ้างเหตุผลที่สวยหรูดูดีแก่ประชาชน ว่า เพื่อความสมานฉันท์ของคนในชาติ เพื่อถวายแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่อีก 60 กว่าวันก็จะทรงครองราชย์ครบ 60 ปี แต่ลึกๆ แล้ว นั่นคงไม่ใช่เหตุผลเดียวของการประกาศเว้นวรรค เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ ย่อมรู้อยู่แก่ใจว่า เสียงโนโหวตเกือบ 10 ล้านเสียงที่ไม่เอาตน โดยเฉพาะใน กทม.และภาคใต้นั้น เป็นตัวเลขที่ไม่แคร์ไม่ได้ เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ จะบริหารประเทศท่ามกลางความแตกแยกของผู้คนในแต่ละภาคได้อย่างไร จึงควรเว้นวรรคจากตำแหน่งนายกฯ สักพัก แต่ยังรักษาอำนาจไว้ด้วยการชักใยอยู่ข้างหลังนายกฯนอมินีที่ตัวเองไว้วางใจให้สวมบทแทน วิธีนี้ นอกจากจะทำให้อำนาจของ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ได้หายไปไหนแล้ว ยังทำให้ตัวเองกลับมาเป็นนายกฯ ได้ใหม่ในภายหลัง ทั้งยังเป็นการป้องกันไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามอย่างกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย มาตรวจสอบเช็กบิลสารพัดข้อกล่าวหาขายหุ้นขายชาติ-โกงแผ่นดินได้อีกด้วย
อ.ประหยัด หงษ์ทองคำ นักวิชาการอิสระด้านรัฐศาสตร์ เป็น 1 ในผู้ที่มองว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เหมือนคนที่ลงจากหลังเสือ ก็ต้องระวังเสือจะทำร้าย จึงเลือกเว้นวรรค เพื่อคงเขี้ยวเล็บของตนไว้
ส่วนหนึ่งต้องการลดการเผชิญหน้ากัน ลดความแตกแยก แต่ในขณะเดียวกันเนื่องจากเป็นห่วงหรือหวาดกลัว ว่า เมื่อท่านจะลดบทบาททางการเมืองโดยสิ้นเชิง คือ ไม่เกี่ยวข้องเลย หรือรอให้มีการตั้งรัฐบาลคนนอกขึ้นมา โดยที่พรรคไทยรักไทยไม่มีส่วนจะมีอำนาจเป็นรัฐบาลด้วย ท่านก็เป็นห่วงหรือกลัวว่า ฝ่ายตรงกันข้ามจะถือโอกาสแก้แค้น ทำนองที่เขาเรียกว่า ลงจากหลังเสือ ต้องระวังอันตรายจากการถูกเสือทำร้ายเอาด้วย เพราะฉะนั้นการที่ท่านจะลงจากหลังเสือโดยสิ้นเชิงนั้น ท่านจึงไม่ทำ ท่านจึงต้องอ้างว่า ยังมีความรับผิดชอบในการต้องรักษาการและเมื่อรักษาการไปถึงจุดที่มีการตั้งรัฐบาลใหม่แล้ว ท่านก็ยังมอง หรือคาดหวังไว้ว่า พรรคไทยรักไทยต้องเป็นรัฐบาลต่อไป ทั้งนี้ ก็เพื่อคอยปกป้องดูแลไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามมารุกเร้าท่านเกิน มาทำหน้าที่ในการที่จะคิดบัญชีเก่าท่าน ตรวจสอบท่านเรื่องนั้นเรื่องนี้ ซึ่งก็มีแนวโน้มมีเค้าเงื่อนพอสมควร เพราะพันธมิตรฯ ก็ได้พูดทำนองว่า แม้เราจะเลิกการชุมนุมเพราะนายกฯ ได้ประกาศเว้นวรรคทางการเมือง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า เราจะไม่เคลื่อนไหวทางการเมือง เรายังเคลื่อนไหวทางการเมืองต่อไป ด้วยการตรวจสอบ ด้วยการดูแลว่า รัฐบาลทำอะไรถูกไม่ถูก นั่นมันมีความหมายครอบคลุมไปถึงการที่เขาจะเริ่มมาคิดบัญชีกับข้อกล่าวหาเก่าๆ ที่กล่าวหาว่า นายกฯ ทักษิณได้ทำผิดอะไรไว้บ้าง เมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว ผมก็มองว่า การที่นายกฯ ทักษิณยังรักษาการอยู่ก็ดี หรือเมื่อหมดวาระของการรักษาการแล้ว ท่านก็ยังต้องมีคนของท่านเป็นรัฐบาลต่อไป หรืออย่างที่เขากำลังมองกันว่า แม้ท่านจะไม่เป็นนายกฯ หลังจัดตั้งรัฐบาลใหม่แล้ว ก็อย่าได้หวังว่าท่านจะหมดเขี้ยวหมดเล็บหมดอำนาจ รัฐบาลใหม่นั้น ก็คงเป็นรัฐบาลนอมินีนั่นเอง จริงๆ แล้วท่านอยู่เบื้องหลัง หรือดีไม่ดี ท่านก็อาจจะเป็นนายกฯ อยู่หลังฉากด้วยซ้ำไป นี่เป็นปัญหาที่ผมมองว่า ความสมานฉันท์การทำงานร่วมกันที่เกิดจากการที่นายกฯ ทักษิณประกาศว่า จะไม่รับตำแหน่งนายกฯ ในสมัยต่อไปนั้น ไม่น่าที่จะเป็นไปตามความคาดหวังที่สังคมกำลังตั้งความหวังในขณะนี้ได้