เจิมศักดิ์ แฉทรัพย์สินวงการสงฆ์ มากกว่างบแผ่นดิน10เท่า!!

เจิมศักดิ์ แฉทรัพย์สินวงการสงฆ์ มากกว่างบแผ่นดิน10เท่า!!

24 มี.ค.58 ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ครั้งที่ 18/2558 โดยมี นายเทียนฉาย กีระนันทน์ ประธาน สปช.เป็นประธานในที่ประชุม โดยมีระเบียบวาระการประชุมคือ การรับทราบและพิจารณารายงานการพิจารณาของคณะกรรมการปฏิรูปแนวทางและมาตรการปกป้องพิทักษ์ กิจการพระพุทธศาสนา เรื่อง รายงานผลการพิจารณาศึกษาการปฏิรูปแนวทาง และมาตรการปกป้องพิทักษ์กิจการพระพุทธศาสนา ซึ่งคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการ สปช.พิจารณาเสร็จแล้ว

โดย นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง สมาชิก สปช.ในฐานะที่ปรึกษาและกรรมการ กล่าวว่า สภาพปัญหาและแนวทางควรจะต้องปฏิรูปต้องแยกให้ชัด เพราะการปฏิรูปแนวทางการปฏิรูปกิจการพระพุทธศาสนา ไม่ใช่ปฏิรูปพระพุทธศาสนา เพราะพระธรรมวินัยของพระพุทธศาสนาเป็นของประเสริฐ ไม่บังควรอย่างยิ่งที่จะปฏิรูป แต่จะใช้แนวทางพระธรรมวินัยเป็นหลักในการปฏิรูปสิ่งที่เกิดขึ้นให้สอดคล้องกับบ้านเมือง ไม่ว่าจะเป็นการสอนหรือการปฏิบัติของพระ หรือการจัดการทรัพย์สินของวัดของพระที่ไม่สอดคล้องพระธรรมวินัย สิ่งที่จำเป็นจะต้องปฏิรูปคือ ทรัพย์สินของวัดและของพระสงฆ์ ปัจจุบันทรัพย์สินในวงการศาสนาพุทธมีจำนวนถึง 20 ล้านล้านบาท มากกว่างบประมาณของแผ่นดิน 10 เท่า และไม่มีบัญชีครบถ้วนว่าทรัพย์สินมีบัญชีเข้าออกอย่างไร มีความไม่โปร่งใสไม่ชัดเจน

ขณะเดียวกันทรัพย์สินและรายได้ที่ชาวบ้านศรัทธาบริจาคมอบให้พระ เพราะเห็นว่าเป็นผู้ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ แล้วแต่จะนำไปทำกิจการในพุทธศาสนาอย่างไรก็ได้ให้เกิดประโยชน์ แต่พระจำนวนไม่น้อยเอาเงินนั้นใส่บัญชีของตนเอง เมื่อมรภาพก็ทำพินัยกรรมยกให้กับญาติ อดีตภรรยา ลูก พระภิกษุหลายรูปมาบวชจนกลายเป็นอาชีพประเภทหนึ่ง ซึ่งไม่สอดคล้องกับพระธรรมวินัยอย่างยิ่ง เพราะพระพุทธเจ้าไม่นิยมให้พระภิกษุจับเงิน แต่ก็มีคนเลี่ยงตลอด เช่น พอมาถวายก็เรียกใบปวารณา หรือวางไว้เอาก้านธูปเขี่ยอ้างว่าไม่จับ

"เงินเปรียบเสมือนงูหรืออสรพิษ สร้างกิเลสให้พระ พอกพูนได้ง่าย  จึงมีการระบุชัดเจน แต่มีการเลี่ยงบาลี จนกลายเป็นของส่วนตัว เงินบริจาค ทำบุญ ทำในนามพระพุทธศาสนาถูกยักย้ายถ่ายเทไปสู่บัญชีส่วนตัว เร็วๆ นี้ พระมหาสารคามได้เงินมาจากสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนหลายสิบล้าน แต่บอกว่าวัดยังไม่มีบัญชี เลยใส่เข้าบัญชี" นายเจิมศักดิ์กล่าว

นายเจิมศักดิ์ กล่าวต่อว่า ทางคณะกรรมการ มีขอเสนอให้ปรับปรุงกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ 24 (พ.ศ.2541) ว่าด้วยการแต่งตั้งถอดถอนพระสังฆาธิการ หรือ พ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ.2505 โดยเฉพาะการปกครองสงฆ์ ควรจะมีการกระจายอำนาจ แทนการปกครองแบบรวมศูนย์อำนาจ ซึ่งจะต้องให้คณะสงฆ์ที่อยู่ในวัดและประชาชนร่วมกันดูแลวัดและกิจการพุทธศาสนา นอกจากนั้น ควรกำหนดให้วัดเป็นศูนย์กลางในการบริหารวัด การแต่งตั้งและถอดถอนเจ้าอาวาส การปฏิบัติให้เป็นไปตามพระธรรมวินัย ควรมีกลไกนำหลักการปฏิบัติตามพระธรรมวินัยมาบัญญัติให้เกิดความชัดเจน ว่าการปฏิบัติใดเป็นไปตามพระธรรมวินัยหรือไม่เป็นไปตามพระธรรมวินัย เพื่อให้มีการตรวจสอบป้องกันการบิดเบือนหรือแอบอ้างพระธรรมวินัย และปฏิรูปการศึกษาของคณะสงฆ์ ให้ทันกับเหตุการณ์ เพื่อให้พระภิกษุสามเณรมีความเชื่อมั่นในระบบการศึกษา

หลังจากนั้น มีสมาชิก สปช.จำนวน 29 ราย ได้อภิปรายรายงานดังกล่าว ต่อจากนั้นที่ประชุมลงมติเห็นด้วยกับรายงานของคณะกรรมการ และข้อเสนอแนะของสมาชิก สปช.เพื่อส่งให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) ดำเนินการต่อไป ด้วยคะแนน 186 ต่อ 7 เสียง งดออกเสียง 11 เสียง ต่อมา นายวรวิทย์ ศรีอนันต์รักษา สปช.ด้านการเมือง ได้ขอให้ที่ประชุมตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อยกร่าง พ.ร.บ.จัดการทรัพย์สินของวัด แต่ถูกนายเทียนฉายแย้งว่า มติที่ออกมารวมทั้งรายงานและข้อเสนอแนะของสมาชิกถือว่าเพียงพอแล้ว ซึ่งจะได้มีการปรึกษากับ ครม.ในเรื่องนี้ และทราบว่ารัฐบาลกำลังร่างกฎหมาย 2 - 3 ฉบับ ที่เกี่ยวข้องอยู่แล้ว ซึ่งที่ประชุมไม่มีข้อท้วงติงใดๆ หลังจากนั้น น.ส.ทัศนา บุญทอง รองประธาน สปช.ในฐานะประธานในที่ประชุม ได้สั่งปิดประชุมเมื่อเวลา 18.15 น.


เครดิต :
เครดิต : เนื้อหาข่าว คุณภาพดี หนังสือพิมพ์แนวหน้า


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์