วันที่ 20 มิ.ย.57 เมื่อเวลา 09.30 น. นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรมว.ศึกษาธิการ ผู้ต้องหาคดีขัดคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ไม่เข้ารายงานตัว และกระทำการยุยง ปลุกปั่นให้เกิดความไม่สงบหรือละเมิดกฎหมายแผ่นดิน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 กรณีการร่วมปาฐกถา ที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศ ได้เดินทางมาศาลเพื่อรายงานตัว ซึ่งวันนี้พนักงานสอบสวน ได้ยื่นคำร้องขอฝากขังครั้งที่ 3 ต่อศาลทหาร อีกเป็นเวลา 12 วัน ตั้งแต่วันที่ 21 มิ.ย. – 2 ก.ค.นี้ เนื่องจากการการสอบสวนยังไม่แล้วเสร็จ ต้องสอบสวนพยานอีก 3 ปาก รวมทั้งการตรวจสอบประวัติผู้ต้องหา
ทั้งนี้ศาลพิจารณาแล้วอนุญาตให้ฝากขังผลัดฟ้องเป็นครั้งที่ 3 ได้
ต่อมาเวลา 12.30 น. เมื่อเสร็จสิ้นกระบวนพิจารณาคำร้องแล้ว นายนรินท์พงศ์ จินาภักดิ์ ทนายความของ นายจาตุรนต์ เปิดเผยว่า ในการวันนี้พนักงานสอบสวนได้ยื่นคำร้องขอฝากขังอีกเป็นครั้งที่ 3 โดยอ้างเหตุต้องสอบปากคำพยานอีก 3 ปาก และการตรวจสอบประวัติผู้ต้องหา โดยพนักงานสอบสวน ยังได้แจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมอีก 1 ข้อหาด้วย ฐานนำ เข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใดๆ อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักรฯ ตามความผิด พ.ร.บ.ว่าการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 มาตรา 14 (3) ซึ่งอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี แต่อย่างไรก็ดีในประเด็นการแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมนั้น เราได้แถลงต่อศาลว่าไม่ขอเซ็นรับทราบข้อกล่าวหา เนื่องจากเห็นว่า พนักงานสอบสวนกระทำการโดยเร่งรีบ ไม่เปิดโอกาสให้เราโต้แย้ง ซึ่งพนักงานสอบสวนควรจะต้องหมายเรียกเราไปรับทราบให้การเสียก่อน ไม่ใช่แจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมพร้อมในคำร้องฝากขังวันนี้ ซึ่งการฝากขังพนักงานสอบสวนยังสามารถยื่นคำร้องได้อีก 1 ครั้ง ขณะที่นายจาตุรนต์ จะเดินทางมาศาลอีกครั้งในวันที่ 2 ก.ค.นี้ เวลา 09.30 น.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะที่วันนี้ นายจาตุรนต์ เดินทางมาพร้อมกับนายวุฒิพงษ์และนางฐิติมา ฉายแสง น้องชายและน้องสาว โดยมีประชาชนจากจังหวัดฉะเชิงเทรา มารอให้กำลังใจพร้อมมอบช่อดอกไม้ให้นายจาตุรนต์ ก่อนขึ้นศาลด้วย
สำหรับนายจาตุรนต์ ก่อนหน้านี้ศาลทหารได้อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวตั้งแต่เมื่อวันที่ 6 มิ.ย.ที่ผ่านมา
โดยศาลก็ได้กำหนดเงื่อนไขการประกันด้วยว่า ห้ามร่วมการชุมนุมทางการเมืองอันก่อให้ความไม่สงบภายในราชอาณาจักร และห้ามแสดงความคิดเห็นด้วยวาจา หรือวิธีอื่นใด หรือทำเป็นหนังสือที่ก่อให้เกิดความไม่สงบในหมู่ประชาชน กระทำการด้วยวาจาหรือสื่อเพื่อยุยงให้ประชาชนทำผิดกฏหมาย และห้ามเดินทางออกนอกประเทศ เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากศาล