คมชัดลึก :"กัดดาฟี"ให้สัมภาษณ์เอบีซี ยังเพ้อว่าประชาชนรักตัวเอง พร้อมตายเพื่อปกป้องเขา ด้านยูเอ็นเตรียมถกถอดลิเบียจากคณะมนตรีสิทธิ-หลายชาติหารือกำหนดเขตห้ามบินในลิเบีย
แต่เมื่อเขาถูกซักว่าประชาชนที่ยึดเมืองเบนกาซีต่างตะโกนขับไล่เขา กัดดาฟี กลับโต้ว่าคนพวกนั้นเป็นสมาชิกอัลไกด้า ไม่ใช่ประชาชนชาวลิเบีย และเมื่อถูกถามว่าเขาจะหลบหนีออกนอกลิเบียหรือไม่ เขากลับหัวเราะและย้อนถามด้วยว่าทำไมเขาจะต้องทิ้งบ้านเกิดไป
ขณะที่นางซูซาน ไรซ์ บอกว่า การที่กัดดาฟียังหัวเราะได้ทั้งที่ตัวเองกำลังเข่นฆ่าประชาชนตอกย้ำให้เห็นว่าเขาไม่เหมาะสมที่จะบริหารประเทศอีกแล้ว และไม่ได้รับรู้โลกของความเป็นจริง เขากำลังเพ้อฝันอย่างแท้จริง
จากสถานการณ์ในขณะนี้ กัดดาฟีกำลังเผชิญการท้าทายครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่เขาอยู่ในอำนาจมานานราว 42 ปีหลังจากประชาชนเริ่มชุมนุมประท้วงเมื่อกลางเดือนที่แล้วจนยึดเมืองทางภาคตะวันออกได้หลายเมืองและกำลังรุกคืบชิงพื้นที่ในหลายเมืองในภาคตะวันตกที่เชื่อว่าเป็นฐานสำคัญของเขา
และในเมืองเบนกาซี ศูนย์กลางใหญ่ของการประท้วงที่ฝ่ายต่อต้านกัดดาฟีเข้ายึดไว้ได้ มีการแขวนคอหุ่นจำลองของกัดดาฟีไว้บนเสาไฟจราจรตรงสี่แยกถนน หลายคนเข้าแถวสมัครเป็นอาสาสมัครของกองกำลังต่อต้านกัดดาฟีเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้ที่คาดว่าจะใช้เวลาอีกนาน
ผู้ประท้วงยังสามารถเข้ายึดฐานทัพอากาศของเมืองไว้ได้โดยมีทหารแปรพักตร์ราว 50 นายให้การช่วยเหลือ และบุกทำลายและขโมยทรัพย์สินมีค่าในบ้านพักของกัดดาฟีที่ฐานทัพอากาศ
นอกจากนี้ในเมืองนาลุต ผู้ประท้วงใช้รถปราบดินรื้อถอนรูปปั้นหนังสือเล่มเขียว ที่เป็นหนังสือปรัญชาการเมืองของกัดดาฟี พร้อมกับส่งเสียงเชียร์โห่ร้องด้วยความยินดี หลังจากสามารถยึดเมืองนี้ไว้ได้ เมืองนี้อยู่ห่างจากทริโปลีไปทางตะวันตกราว 236 กม.
ด้านสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติเตียมจัดประชุมในวันนี้เพื่อหารือต่อข้อเรียกร้องของคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติที่ลงมติเมื่อสัปดาห์ที่แล้วเรียกร้องให้ระงับสมาชิกภาพของลิเบียในคณะมนตรีสิทธิมนุษยชน เพื่อตอบโต้ที่ทางการลิเบียใช้กำลังทหารปราบปรามผู้ประท้วงด้วยความรุนแรง จนทำให้คาดว่ามีผู้เสียชีวิตกว่า 1,000 คน
และในการประชุมของคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนที่นครเจนีวาของสวิตเซอร์แลนด์เมื่อวานรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐ ฮิลลารี คลินตัน ได้กล่าวกดดันทูตสหภาพยุโรปหรือ อียู รวมถึงรัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย เซอร์เก ลาฟรอฟ และหัวหน้านโยบายต่างประเทศอียู แคทเธอรีนแอชตันเพื่อให้มีมาตรการแข็งกร้าวต่อรัฐบาลของพันเอกโมอัมมาร์ กัดดาฟี ผู้นำลิเบีย
นางคลินตันบอกกับคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนสหประชาชาติว่า พันเอกกัดดาฟีต้องลงจากอำนาจทันที โดยไม่ล่าช้าและไม่มีความรุนแรงเพิ่มขึ้น พร้อมว่า ทุกวันนี้ทั่วโลกจับตาดูลิเบีย เราได้เห็นกองกำลังของผู้นำลิเบียเปิดฉากยิงใส่ผู้ประท้วงอย่างสงบครั้งแล้วครั้งเล่า และผู้นำลิเบียและคนรอบตัว ต้องรับผิดชอบต่อการกระทำเหล่านี้ ซึ่งละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศและสามัญสำนึก
สหภาพยุโรปได้ประกาศห้ามการเดินทาง และอายัดทรัพย์สินของเจ้าหน้าที่ระดับสูงของลิเบียและคว่ำบาตรการขายอาวุธกับลิเบีย ซึ่งมาตรการของอียูต่อลีเบียจะมีผลกระทบต่อลิเบียมากกว่าสหรัฐ เพราะน้ำมันถึงร้อยละ 85 จากลิเบียส่งออกไปยังยุโรป ขณะที่คาดว่ากัดดาฟีและครอบครัวมีทรัพย์สินมากพอสมควรในอังกฤษ สวิสเซอร์แลนด์ และอิตาลี
และเยอรมนียังเสนอคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจเป็นเวลา 60 วันเพื่อป้องกันรัฐบาลกัดดาฟีใช้น้ำมันและรายได้อื่นๆไปจ้างนักรบต่างชาติมาใช้ปราบปรามประชาชนในประเทศ
นอกจากนี้นางคลินตัน บอกว่า สหรัฐและชาติยุโรปกำลังพิจารณาถึงแนวทางการกำหนดเขตห้ามบินเหนือน่านฟ้าลิเบียเพื่อป้องกันกองกำลังของกัดดาฟีใช้ปฏิบัติการทางอากาศทิ้งระเบิดโจมตีประชาชน ซึ่งมาตรการนี้ต้องอาศัยมติเห็นชอบจากคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ
ขณะเดียวกันมีรายงานว่ากระทรวงกลาโหมสหรัฐได้เคลื่อนกำลังของหน่วยนาวิกโยธิน และทหารอากาศเข้าใกล้ลิเบีย เพื่อเตรียความพร้อมสำหรับการตัดสินใจใดๆในอนาคต แต่ยังไม่มีการเปิดเผยว่าทั้งกองเรือและเครื่องบินดังกล่าวจะมีภารกิจอะไร