สธ.ตั้งทีมรับมือไข้เลือดออกระบาดพบรอบ 5 เดือนป่วยแล้วกว่าหมื่น

สำนักข่าวไทย  7 มิ.ย.- สธ.ตั้งทีมรับมือฤดูกาลระบาดหนักไข้เลือดออก มิ.ย.- ส.ค. 2553 

รอบ 5 เดือนมานี้ป่วยกว่า 17,000 คน เสียชีวิต 20 คน  พบสูงสุดที่ภาคกลาง  ระบุปีนี้จะระบาดหนักช่วงฝนชุกในเดือน มิ.ย.-ส.ค. สั่งทุกหน่วยงานเฝ้าระวังควบคุมโรคไม่ให้แพร่กระจาย โดยให้สังเกตผู้ป่วยมีไข้ที่อายุเกิน 14 ปีด้วย  เผยพบในเด็กโตและวัยรุ่นมากขึ้น

นพ.ไพจิตร์ วราชิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ให้สัมภาษณ์ว่า สธ.ได้ตั้งคณะกรรมการป้องกันควบคุมการแพร่ระบาดของโรคไข้เลือดออก

ชุดใหญ่ 1 ชุด จำนวน 23 คน ประกอบด้วยผู้บริหาร ศธ. กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงมหาดไทย  และกรุงเทพมหานคร โดยมี นพ.ศิริวัฒน์  ทิพย์ธราดล รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธาน เพื่อวางนโยบายการป้องกันและแก้ไขโรคไข้เลือดออกในระดับชาติ โดยให้หน่วยงานต่าง ๆ มีส่วนร่วมในการควบคุมป้องกันโรคอย่างมีประสิทธิภาพและทันท่วงที  เนื่องจากจากการวิเคราะห์สถานการณ์โรคพบว่า ปีนี้มีแนวโน้มโรคจะระบาดหนักกว่าปีที่ผ่านมา 

ตั้งแต่เดือน มกราคม - พฤษภาคม 2553  พบผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกทั่วประเทศ 17,587 คน

ส่วนใหญ่พบในเด็กโตและวัยรุ่น อายุระหว่าง 10-24 ปี ภาคกลางมีผู้ป่วยสูงสุดจำนวน 7,945 คน รองลงมาคือภาคใต้  4,264 คน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 3,753 คน และภาคเหนือ 1,625 คน เสียชีวิตรวม 20 คน เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2552 จำนวนผู้ป่วยปีนี้มากกว่าถึงร้อยละ 58 ชี้ให้เห็นว่าไข้เลือดออกในปีนี้จะระบาดหนัก โดยเฉพาะช่วงที่มีการระบาดสูงสุดคือ เดือน มิ.ย.- ส.ค. ซึ่งมีฝนตกชุกขึ้น หากไม่มีการควบคุมป้องกันอย่างจริงจังของทุกหน่วยงาน   


ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวด้วยว่า  ปีนี้ สธ.จะมีมาตรการเข้มในเรื่องการรายงานโรค

โดยให้ทุกพื้นที่ที่พบผู้ป่วยรีบรายงานสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดภายใน  24 ชั่วโมง และส่งทีมควบคุมโรคลงพื้นที่ทันทีเพื่อควบคุมไม่ให้โรคแพร่กระจาย โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีผู้ป่วยสูงกว่าค่าเฉลี่ยกลางปีเมื่อเทียบกับข้อมูลย้อนหลังในช่วงเวลาเดียวกัน 5 ปีที่ผ่านมา จะต้องรณรงค์กำจัดลูกน้ำยุงลายถี่ขึ้นอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง ส่วนในเรื่องการรักษาพยาบาลได้กำชับให้แพทย์ ทั้งแพทย์ทั่วไป กุมารแพทย์ อายุรแพทย์ ให้ดูแลผู้ป่วยที่อายุเกิน 14 ปีที่มีไข้  ให้นึกถึงโรคไข้เลือดออกด้วย เพราะมีการเปลี่ยนแปลงของโรคพบในเด็กโตและวัยรุ่นมากขึ้น ซึ่งก่อนหน้านี้พบในเด็กเล็กเป็นส่วนใหญ่ และให้สถานพยาบาลทุกระดับดูแลสถานที่ไม่ให้เป็นแหล่งแพร่โรค โดยต้องไม่มีลูกน้ำยุงลายในและรอบ ๆ สถานพยาบาล

นพ.มานิต  ธีระตันติกานนท์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า เชื้อเด็งกี่ซึ่งเป็นสาเหตุโรคไข้เลือดออก

อาศัยอยู่ในยุงลายที่พบในบ้านเรือนและในสวน มี 4 สายพันธุ์ ได้แก่ สายพันธุ์เด็งกี่ที่ 1, 2, 3 และ 4 ในปีที่ผ่านมาพบผู้ป่วยติดเชื้อสายพันธุ์เด็งกี่ที่ 1 มาก ในปีนี้ยังคงพบสายพันธุ์เด็งกี่ที่ 1 มากเช่นเดิม  แต่สายพันธุ์เด็งกี่ที่ 2 และ 3 มีสัดส่วนที่สูงขึ้น ประชาชนส่วนใหญ่ยังไม่มีภูมิต้านทานต่อสายพันธุ์เด็งกี่ที่ 2 และ 3 จึงมีโอกาสที่ป่วยเป็นโรคไข้เลือดออกสูงมาก 

อาการของโรคไข้เลือดออกที่เป็นลักษณะเฉพาะคือมีไข้สูง 38.5 องศาเซลเซียสขึ้นไปติดต่อกันหลายวัน

เบื่ออาหาร ส่วนใหญ่ไม่มีอาการไอ ไม่มีน้ำมูก อาจมีจุดสีแดง ๆ เล็ก ๆ ขึ้นตามผิวหนัง บางคนอาจมองไม่เห็นชัดเจน ต้องใช้วิธีรีดผิวหนังให้ตึงจึงจะเห็นจุดแดงชัดเจน แต่อย่างไรก็ตามในระยะแรกที่มีไข้สูง ไม่สามารถวินิจฉัยได้โดยง่าย เพราะอาการคล้ายไข้อื่นด้วย เช่นไข้หวัดใหญ่ ดังนั้น วิธีการดูแลผู้ป่วยที่ดีที่สุดคือ ให้กินยาลดไข้ชนิดพาราเซตามอล 

“อย่ากินประเภทที่มีแอสไพรินหรือไอบูโพรเฟนผสมอย่างเด็ดขาด เพราะยาชนิดนี้จะให้เลือดไม่แข็งตัว มีเลือดไหลในอวัยวะภายในมากขึ้นและมองไม่เห็น ผู้ป่วยอาจช็อคเมื่อใดก็ได้ สำหรับการป้องกันไม่ให้ป่วยเป็นไข้เลือดออกต้องไม่ให้ยุงลายกัด โดยนอนในมุ้ง ทายากันยุงและที่สำคัญต้องทำความสะอาดบริเวณบ้านและสวนให้โล่งเตียน ไม่ให้น้ำขังในภาชนะ หลุมบ่อต่าง ๆ ตามรอยเว้าก้นโอ่งที่คว่ำ ภาชนะใส่น้ำในบ้านที่ไม่มีฝาปิด ทั้งแจกันไม้ประดับ ขาหล่อตู้กับข้าว โอ่งน้ำ แท็งก์น้ำ ต้องเปลี่ยนเทน้ำทิ้งทุก 7 วัน สำหรับโอ่งน้ำที่ทิ้งแห้งไว้ถ้าจะใช้ใส่น้ำให้ขัดภายในโอ่ง เพื่อให้ไข่ยุงที่เกาะแห้งอยู่ออกไป แล้วล้างให้สะอาดก่อนบรรจุน้ำ พร้อมปิดฝาโอ่งให้มิดชิดป้องกันยุงวางไข่ ห้ามเติมน้ำก่อนกำจัดไข่ยุงที่แห้งติดภายในโอ่งอย่างเด็ดขาด เพราะจะทำให้ไข่ยุงลายที่มีอยู่กลายเป็นตัวยุง ซึ่งไข่ยุงแห้งจะมีอายุนานนับปี” อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าว.- สำนักข่าวไทย

เครดิต :

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์