ที่โรงแรมเอเชีย ศูนย์วิจัยปัญหาสุรา (ศวส.) ร่วมกับ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และเครือข่ายกว่า 10 องค์กร จัดการประชุมวิชาการสุราระดับชาติ ครั้งที่ 5 ภายใต้หัวข้อ “แผนยุทธศาสตร์เพื่อควบคุมปัญหาสุราระดับชาติ” ภญ.อรทัย วลีวงษ์ นักวิจัยศูนย์วิจัยปัญหาสุรา สำนักงานพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ กล่าวว่า จากข้อมูลพบว่าการดื่มสุราของกลุ่มวันรุ่นถือว่าเข้าขั้นวิกฤต วัยรุ่นชายอายุ 12-19 ปี ดื่มเบียร์ครั้งละ 3.8 ขวดใหญ่ คิดเป็นปีละ 367 ขวด ขณะที่วัยรุ่นหญิงดื่มครั้งละ 2 ขวด ปีละ 92 ขวดใหญ่ นอกจากนี้เด็กไทย 90% พบเห็นโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกวัน มีร้านเหล้ารอบโรงเรียน รอบมหาวิทยาลัย โดยเฉพาะเหล้าปั่นเพิ่มมากขึ้นโดยขาดการบังคับใช้กฎหมายห้ามขายสุราแก่เด็ก ทำให้เด็กเข้าถึงสุราได้ง่ายขึ้น จากข้อมูลระบุเด็กวัย 12 ปี เพียงร้อยละ 9 ที่บอกว่าเหล้าหาซื้อยาก
“ร่างยุทธศาสตร์นโยบายแอลกอฮอล์ระดับชาตินั้นจึงได้เสนอแนวทางการปกป้องอนาคตของสังคมจากภัยน้ำเมา หลายด้าน อาทิ พัฒนามาตรการการควบคุมกลยุทธ์การตลาดให้เข้มข้นขึ้น การพัฒนาระบบตรวจตราเฝ้าระวังการขายสุราให้กับกลุ่มเยาวชน การกำหนดภาษีเป็นการเฉพาะสำหรับเครื่องดื่มที่ดึงดูดเยาวชน และขยายการห้ามจำหน่ายสุราในบริเวณพื้นที่และเงื่อนไขที่มีเยาวชนหนาแน่นและเข้าถึงได้ง่าย”ภญ. อรทัย กล่าว
น.ส.วีรนุช ว่องวรรธนะกุล นักวิจัยศูนย์วิจัยปัญหาสุรา สำนักงานพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ กล่าวว่า ปัจจุบันไทยยังไม่มีมาตรการในการควบคุมจำนวน และความหนาแน่นของจุดขายปลีกสุราเพื่อป้องกันปัญหา ซึ่งส่งผลให้มีร้านขายสุราที่ได้รับอนุญาตขายกว่าห้าแสนร้านค้า และผู้ที่ขายโดยไม่มีใบอนุญาตซึ่งคาดว่าจะมีประมาณ 20% ของจุดขายทั้งหมด
น.ส.วีรนุช กล่าวว่า ข้อจำกัดประการสำคัญคือ การขาดมาตรการในการควบคุมจำนวน ความหนาแน่นของจุดขาย และการนำไปปฏิบัติอย่างจริงจัง และการติดตามประเมินผล รวมไปถึงบทลงโทษผู้กระทำผิด ทำให้การเข้าถึงสุราเป็นเรื่องง่ายสำหรับคนไทย เด็กประถมใช้เวลาเฉลี่ยเพียง 10 นาทีก็หาซื้อสุราได้ ซึ่งขั้นตอนการขออนุญาตที่ง่ายและรวดเร็ว รวมถึงค่าธรรมเนียมที่ถูก อย่างไรก็ตามร่างยุทธศาสตร์นโยบายแอลกอฮอล์ระดับชาติของไทย มีได้การเสนอแนวทางการควบคุมการเข้าถึงสุรา ได้แก่ 1.การทบทวนและปรับปรุงระบบการออกใบอนุญาตขายสุรา โดยเฉพาะการควบคุมและลดจำนวนและความหนาแน่นของจุดขายสุรา 2.การขึ้นค่าธรรมเนียมใบอนุญาต 3.การกำหนดพื้นที่อนุญาตขาย หรือการกำหนดโซนนิ่งโดยการมีส่วนร่วมของชุมชน 4.การสร้างความเข้มแข็งของการเฝ้าระวังและบังคับใช้กฎหมาย 5.การห้ามขายสุราในพื้นที่และเงื่อนไขที่มีความเสี่ยงสูงและมีเยาวชนหนาแน่น