กรณีรายการ “เรื่องเล่าเช้านี้” นำเอาคลิปครูผู้ชายโรงเรียนสอนภาษาไทย- จีนชื่อดังแห่งหนึ่งย่านถนนสีลม ลงโทษ ด.ช.ต่าย (นามสมมุติ) นักเรียนชั้น ม.2 โดยภาพในคลิปเป็นภาพครูคนดังกล่าวใช้มือตบหน้านักเรียนอย่างแรง โดยเด็กพยายามปัดป้อง กระทั่งถูกจับศีรษะกระแทกกับ กระดานอย่างแรง เหตุเกิดเมื่อวันที่ 9 ก.ย. ที่ผ่านมา ทั้งนี้หลังภาพแพร่สู่สาธารณะปรากฏว่าครูคนดังกล่าว ยอมรับว่าบันดาลโทสะที่เด็กพูดจาหยาบคายใส่ โดยได้ชี้แจงให้ผู้ปกครองทราบแล้วซึ่งอีกฝ่ายไม่ติดใจ เอาเรื่อง ขณะญาติผู้เสียหายเห็นคลิปเหตุการณ์ถึงกับนั่งไม่ติด เตรียมเข้าแจ้งความดำเนินคดี ล่าสุดครูคนดังกล่าวได้ขอลา ออกแล้ว
ความคืบหน้าเกี่ยวกับเรื่องนี้ เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 22 ก.ย. น.ส.สุดาภรณ์ (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 34 ปี น้าสาวเด็กผู้เสียหาย เดินทางมาพร้อมกับ ด.ช.ต่าย เข้าแจ้งความกับ พ.ต.ท.อังกูร ศิริปริญญานันท์ พงส. (สบ 3) สน.ยานนาวา เพื่อลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐาน โดยทาง พ.ต.ท.ชาญวิทย์ พุ่มโพธิ รอง ผกก.สส. ได้ร่วมสอบปากคำ โดยมีทางอาจารย์ที่ถูกกล่าวหาร่วมรับฟัง และขอโทษผู้ปกครอง ด.ช.ต่าย เกี่ยวกับเรื่องที่ เกิดขึ้นด้วย
น.ส.สุดาภรณ์ กล่าวว่า หลังจากไปออกรายการโทรทัศน์เมื่อวานนี้ ได้มีการพูดคุยปรับความเข้าใจกับทางโรงเรียนแล้ว ที่จริงไม่อยากให้เรื่องมันบานปลายไปมากกว่านี้ เพราะยิ่งข่าวโหมแรงมากแค่ไหน เด็กจะได้รับผลกระทบมากตามไปด้วย ตนอยากให้เรื่องจบเร็ว ๆ อย่างไรก็ตาม มีหนังสือพิมพ์บางเล่มเสนอข่าวเหมือนจะเข้าข้างทางโรงเรียน ตนก็ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น สาเหตุที่ต้องมาแจ้งความก็เพื่อไว้เป็นหลักฐาน เนื่องจากไม่รู้ว่า ถ้าเรื่องเงียบไปแล้ว ตัวอาจารย์ที่ทำหรือแม้กระทั่ง ทางโรงเรียนจะผูกใจเจ็บแก้แค้นเด็กหรือไม่ ประกอบกับถ้าผลการประชุมของคณะกรรมการออกมาว่าอาจารย์ผิดจริง จะมีขั้น ตอนในการลงโทษอย่างไร เพราะอาจารย์ได้ยื่นใบลาออกไปแล้ว ซึ่งหลังจากพูดคุยกันในครอบครัวก็สรุปกันว่า จะไม่เอาเรื่อง ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของตำรวจ
ด้านอาจารย์คลิปฉาว กล่าวว่า ตนยอมรับผิดทุกอย่าง ที่ทำลงไปไม่มีเจตนาจะ ทำร้ายเด็ก แต่ถูกด่าใส่หน้าจึงรู้สึกอับอายและโกรธมาก แต่ถึงจะโมโหแค่ไหนคนที่มีวิญญาณครูทุกคนก็ต้องระงับสติอารมณ์ ของตัวเองให้ได้ อยากจะขอโทษตัวเด็กและ ผู้ปกครองด้วย สังคมอาจจะไม่ให้อภัยตน แต่ขอให้เข้าใจบ้างก็พอแล้ว
ขณะที่ พ.ต.ท.ชาญวิทย์ กล่าวว่า หลังจากรับแจ้งลงบันทึกไว้แล้ว ถึงแม้ว่า ในส่วนของผู้เสียหายจะไม่เอาผิด แต่ทางเจ้าหน้าที่ก็ต้องดำเนินการเอง เนื่องจากเป็นคดีที่มีหลักฐานชัดเจนและเผยแพร่สู่สังคมในวงกว้าง เบื้องต้นคงต้องพาเด็กไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลก่อน รอผลจากแพทย์ว่าเด็กมีส่วนใดที่ได้รับบาดเจ็บบ้าง จากนั้นค่อยว่ากันทางกฎหมายต่อไป.