เมื่อวันที่ 11 ก.ย. ศ.นพ.สมศักดิ์ โล่ห์เลขา นายกแพทยสภา กล่าวในการประชุม เพื่อเตรียมความพร้อมและให้ความรู้ ความเข้าใจกับแพทย์ที่ทำการผ่าตัดแปลงเพศ เกี่ยวกับหลักเกณฑ์และข้อปฏิบัติอย่างถูกต้อง ในการรักษาเพื่อแปลงเพศให้กับประชาชนที่มีความต้องการทำศัลยกรรมแปลงเพศ ว่า
ขณะนี้คณะกรรมการแพทยสภาได้พิจารณาเห็นชอบ ข้อบังคับแพทยสภา เกี่ยวกับหลักเกณฑ์การรักษาเพื่อแปลงเพศ แล้วและได้ลงประกาศในราชกิจจานุเบกษา ฉบับประกาศทั่วไป เล่ม 126 ตอนพิเศษ 77 ง วันที่ 29 พ.ค. 2552 แล้ว โดยจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 25 พ.ย.นี้
นพ.สมศักดิ์ กล่าว่า
เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อม แพทยสภาจึงได้เชิญศัลยแพทย์ที่เกี่ยวข้องมารับทราบถึงหลักเกณฑ์และวิธีการปฏิบัติเพื่อให้เป็นไปตามข้อบังคับแพทยสภาได้อย่างถูกต้อง ที่สำคัญ เมื่อทำการผ่าตัดแปลงเพศให้กับประชาชนที่มีความต้องการแล้ว มีความเชื่อมั่นต่อแพทย์ผู้รักษา และเชื่อมั่นต่อแพทยสภาว่าจะคุ้มครองสวัสดิภาพความปลอดภัยของประชาชนเป็นภารกิจหลักของแพทยสภา
“ปัจจุบันได้มีประชาชนจำนวนหนึ่งที่มีความประสงค์จะทำศัลยกรรมผ่าตัดแปลงเพศ เพื่อให้เป็นไปตามสภาพจิตใจที่ตรงกับตนเอง แต่เนื่องจากกระบวนการในการผ่าตัดแปลงเพศนั้น อาจจะมีผลกระทบต่อร่างกาย จิตใจ และสังคม ของตัวผู้ป่วยเอง และยังส่งผลกระทบในข้อกฎหมายด้วย
นพ.สัมพันธุ์ คมฤทธิ์ เลขาธิการแพทยสภา กล่าวว่า
ได้ทำความเข้าใจกับศัลยแพทย์เกี่ยวกับข้อบังคับของแพทย์สภาที่จะบังคับใช้ในปลายปีนี้ มี 4 ขั้นตอนหลัก คือ1.การประเมินคนไข้ ว่ามีความพร้อมสมควรได้รับการผ่าตัดหรือไม่ ทั้งร่างกายและจิตใจ 2.การเตรียมคนไข้ ซึ่งต้องทำอย่างน้อย 1 ปี ดูเรื่องของสภาพจิตใจเป็นหลัก 3.การผ่าตัด และ4.การติดตามผลหลังการผ่าตัด สำหรับแพทย์ที่สามารถดำเนินการผ่าตัดแปลงเพศได้นั้น ต้องได้รับการขึ้นทะเบียนจากแพทยสภา และต้องเป็นศัลยแพทย์เท่านั้น
“ส่วนการผ่าตัดแปลงเพศ กำหนดให้ทำให้ผู้ที่มีอายุไม่ต่ำกว่า 18 ปี และผู้ที่มีเกณฑ์อายุระหว่าง 18-20 ปี การผ่าตัดต้องมีหนังสือยินยอมจากผู้ปกครอง ส่วนการแก้ไขข้อกฎหมายเพื่อเพิ่มสิทธิให้กับผู้ที่ผ่าตัดแปลงเพศแล้วนั้น หรือการผลัดกันพ.ร.บ.เพศที่ 3 นั้นถือเป็นหน้าที่ของกรรมการสิทธิ์มนุษย์ชน โดยทางแพทยสภายินดีให้ความคิดเห็นเรื่องการผ่าตัดที่ในอนาคตอาจส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนทั้งการทำบัตรประชาชน หนังสือเดินทาง การเกณฑ์ทหาร”