นพ.วรรณรัตน์ ชาญนุกูล รมว.พลังงาน เปิดเผยหลังการประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.)
ที่มีนายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.ต่างประเทศ เป็นประธานว่า ที่ประชุมได้เห็นชอบในหลักการแนวทางปรับราคาก๊าซหุงต้ม (แอลพีจี) สำหรับภาคขนส่งและอุตสาหกรรม ยกเว้นปิโตรเคมี ผ่านการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเพื่อชดเชยภาระการนำเข้าจำนวน 6 บาทต่อกิโลกรัม (กก.) หรือ 3.20 บาทต่อลิตร แต่เพื่อลดผลกระทบให้พิจารณาทยอยจัดเก็บเดือนละ 2 บาทต่อ กก. หรือ 1 บาทต่อลิตร ติดต่อเป็นเวลา 3 เดือน โดยราคาแอลพีจีครัวเรือนไม่เปลี่ยนแปลงจนถึงสิ้น ม.ค. 52
“การกำหนดราคาที่ปรับขึ้น 6 บาทต่อ กก.มาจากฐานประเมินว่าราคาแอลพีจีปีหน้าจะอยู่ที่ประมาณ 700 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน และราคาสมมติฐานน้ำมันดิบประมาณ 70-80 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน จึงทำให้ส่วนต่างดังกล่าวที่ต้องชดเชยคือ 6 บาทต่อ กก. จึงเป็นเหตุผลที่จะต้องปรับขึ้นในอัตรานี้เนื่องจากตั้งแต่ เม.ย.เป็นต้นมา ปตท.ต้องนำเข้ามาต่อเนื่อง เพราะการใช้เกินกว่าการผลิต ซึ่ง ต.ค.ที่ผ่านมา ปตท.นำเข้าแล้ว 7,422 ล้านบาท ซึ่งเงินที่ขึ้นเดือนละ 2 บาทต่อ กก.จะนำไปจ่าย ปตท.ในการนำเข้าลอต พ.ย.เป็นต้นไป
รมว.พลังงานกล่าวว่า ที่ประชุมยังได้กำหนดมาตรการดูแลช่วยเหลือผู้ขับขี่รถแท็กซี่ที่ใช้แอลพีจีหันมาเปลี่ยนเป็นก๊าซธรรมชาติอัด (ซีเอ็นจี) หรือ เอ็นจีวี จำนวน 20,000 คันในระยะเวลา 4 เดือน
โดยแท็กซี่ใหม่จะได้รับการสนับสนุนเงิน 40,000 บาทต่อคัน ในการปรับเปลี่ยนอุปกรณ์ พร้อมทั้งตั้งคณะทำงานขึ้นมา 5 ชุด ในการดูแลและกำกับไม่ให้ใช้แอลพีจีผิดประเภท และการลักลอบไปประเทศเพื่อนบ้าน ขณะเดียวกัน ยังอนุมัติแผนการส่งเสริมแก๊สโซฮอล์ E85 เพื่อส่งเสริมการใช้เอทานอลเป็นวาระแห่งชาติ.