ผู้สื่อข่าวรายงานเมื่อวานนี้ (12 พ.ย.) คณะกรรมาธิการการเงิน การคลัง การธนาคารและสถาบันการเงิน วุฒิสภา ร่วมกับสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติจัดสัมมนาเรื่อง “ทางรอดของเศรษฐกิจไทย จากวิกฤติเศรษฐกิจโลก” โดยมีนายสุชาติ ธาดาธำรงเวช รมว.คลัง กล่าวในหัวข้อเรื่อง “นโยบายการแก้ไขปัญหาและป้อง กันไม่ให้เศรษฐกิจไทยกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจโลก” ว่า
จากปัญหาเศรษฐกิจโลกที่ส่งผลกระทบต่อสภาพคล่องและปริมาณเงินในระบบหดหายไป รัฐบาลได้วางนโยบายสร้างความเชื่อมั่นให้ เกิดขึ้น ซึ่งที่ผ่านมา ได้ขยายเวลาการค้ำประกันเงินฝากเป็น 3 ปี เพื่อให้ประชาชนมั่นใจในการฝากเงินและไม่แห่ถอนเงินจากธนาคารพาณิชย์
ประกอบด้วยอัตราดอกเบี้ยอ่อน เงินบาทอ่อนและอัตราภาษีอ่อน เพื่อให้เศรษฐกิจไทยในปีหน้าเติบโตไม่ต่ำกว่า 4% ของจีดีพี (ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ) ประการแรก นโยบายอัตราดอกเบี้ยอ่อนหรืออยู่ในระดับต่ำ เพราะเห็นว่าอัตราดอกเบี้ยอาร์พียังอยู่ในระดับสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากทำให้ธนาคารพาณิชย์ที่รับเงินฝากจากประชาชน โดยมีต้นทุนเงินฝากเพียง 2% แล้วนำไปฝากกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในอัตราดอกเบี้ย 3.75% ธนาคารพาณิชย์จะกินส่วนต่างจากอัตราดอกเบี้ย โดยไม่ต้องตั้งสำรองหนี้และไม่เป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอ) ทำให้ไม่มีเงินไหลเข้าสู่ระบบเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
ประการที่ 2 นโยบายค่าบาทอ่อนเพื่อช่วยผลักดันภาคการส่งออกของไทย ทั้งนี้ การส่งออกในปัจจุบันมีมูลค่ากว่า 178,000 ล้านเหรียฐสหรัฐฯ หากเงินบาทอ่อนค่าลง 1 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ จะช่วยเพิ่มมูลค่าการส่งออกในรูปของเงินบาทได้ถึง 178,000 ล้านบาทมากกว่างบประมาณกลางปี 52 แม้ผู้นำเข้าจะได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาทก็ตาม แต่หากเปรียบเทียบกันแล้วถือว่า คุ้มค่า เพราะราคาน้ำมันจะแพงขึ้นเพียง 10 สตางค์ “เงินบาทที่อ่อนจะช่วยการส่งออก เพราะได้มาฟรีๆ ธปท.ไม่ต้องจ่ายเงิน เกษตรกรที่ส่งออกพืชผลทางการเกษตรจะได้รับเงินเพิ่มขึ้นอีก 1 บาททุกๆ 1 เหรียญสหรัฐฯ เท่ากับเป็นการเพิ่มกำลังซื้อและเพิ่มการจับจ่ายใช้สอยของประชาชนอย่างมากมาย แม้แต่จีนเองก็ทำให้ค่าเงินหยวนอ่อนค่าเหมือนกัน” ประการสุดท้าย นโยบายภาษีอ่อนหรือการลดอัตราภาษี ยอมรับว่า ปีงบประมาณ 52 รัฐบาลอาจจัดเก็บรายได้ไม่ถึงเป้าหมาย 1.56 ล้านล้านบาท เนื่องจากรัฐบาลตั้งงบขาดดุลเพิ่มขึ้น 100,000 ล้านบาท เพราะเศรษฐกิจไม่ปกติ ซึ่งข้อเสนอของเอกชนในการปรับลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและนิติบุคคลนั้นอยู่ระหว่างปรับโครงสร้างภาษีทั้งระบบ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขัน โดยระยะยาวจะลดภาษีเงินได้นิติบุคคลเพื่อให้แข่งขันกับต่างประเทศได้ เพราะปัจจุบันสิงคโปร์มีอัตราภาษีอยู่ที่ 20% ฮ่องกง 16%
“รัฐบาลมีแผนต้องใช้เงินลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ และใช้ดูแลเศรษฐกิจของประเทศ หากมีการปรับลดภาษีลงจะกระทบต่อการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลและอาจทำให้รัฐบาลขาดดุลงบประมาณมากเกินไปซึ่งจะมีผลต่อเครดิตของประเทศและกระทบต่อต้นทุนการกู้เงินได้ จึงต้องชั่งน้ำหนักเรื่องนี้ให้รอบคอบ”