จุดเด่นของงานนี้ อยู่ที่ ขนมแก่นตะวัน หน้าตาเหมือนขนมต้ม แต่ผิวเรียบนวลเนียน คณะผู้จัดงานยกให้ขนมแก่นตะวันเป็นขนมตัวแทนของวันแม่ เปรียบความรักของแม่ที่มีต่อลูกที่แข็งแกร่งเหมือนแก่นไม้เนื้อใน ตะวันก็คือแสงที่ให้ความอบอุ่นแก่ลูก สำคัญกว่านั้นก็คือ ขนมแก่นตะวันทำจากแป้งที่มีส่วนผสมของแก่นตะวัน (Jerusalem artichoke) พืชหัวที่มีถิ่นกำเนิดในอเมริกาเหนือ แต่มีการนำมาพัฒนาสายพันธุ์ให้เหมาะสมกับเมืองไทย
รศ.ดร.สนั่น จอกลอย อาจารย์คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ซึ่งได้รับทุนวิจัยแก่นตะวันจากสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ(วช.) กล่าวว่า แก่นตะวัน สามารถนำมาประกอบอาหารได้ทั้งคาว หวาน
หรือจะรับประทานสดเป็นเครื่องเคียงกับน้ำพริกก็อร่อย แก่นตะวันเป็นแหล่งสะสมอินนูลิน ซึ่งเป็นน้ำตาลฟลุ๊กโตสโมเลกุลยาว มีสารเยื่อใยอาหาร เมื่อทานเข้าไปจะไม่ถูกย่อย ทำให้ไม่รู้สึกหิว จึงช่วยลดความอ้วนได้ และยังช่วยทำให้ระบบทางเดินอาหารเป็นปกติด้วย แก่นตะวัน จะคล้ายดอกบัวตอง สีเหลืองสดใส ช่วงที่ยังไม่เก็บเกี่ยวหัว ก็ปลูกเพื่อการท่องเที่ยวเหมือนของทุ่งทานตะวันได้ด้วย
ชิมขนมแก่นตะวันแล้ว ก็แวะมาดูฟรุ๊ตเค้กข้าวเหนียวมูน ขนาด 1.50 เมตร ใช้ข้าวเหนียวถึง 450 กก. น้ำ 300 กก. กะทิ 250 กก. และผลไม้ตกแต่ง เป็นฝีมือนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต สวยงามน่าเอาไปกินกับข้าวเหนียวมะม่วงจริง ๆ
ที่แต่เป็นสุดยอดไอเดีย ก็คือ ไอติมกะทิมะพร้าวน้ำหอมที่ผสมเผือกชั้นเล็ก ๆ ลงไป เนื้อไอติมฟูสวย เสิร์ฟมาในลูกมะพร้าวเผา พร้อมเนื้อมะพร้าวแช่เย็น โรยหน้าด้วยถั่วลิสงคั่ว แถมน้ำมะพร้าวให้ดื่มล้างคอเย็นชื่นใจ ในราคาแค่ 30 บาท ถ้าพลาดงานนี้ไปหาซื้อกินได้ที่ตลาดน้ำบางน้ำผึ้ง พระประแดง ภายในงานนี้จะมีสารพัดเมนูขนมที่ทำจากข้าวเหนียว แป้งข้าวเหนียว เพื่อร่วมรณรงค์ให้คนไทยบริโภคข้าวเหนียวมากขึ้น ทั้งข้าวหลาม ข้าวต้มมัด ขนมเทียนแก้ว ข้าวเหนียวมูน สารพัดหน้า และขนมสารพัดหน้ามารวมในงานนี้ เป็นร้อย ๆ ชนิด ขนาดข้าวหลามหนองมนยังไม่ธรรมดา เพราะเป็นข้าวหลามไฮเทค 9 ไส้ จากร้านเจ๊หนู ซึ่งโด่งดังอยู่ที่ตลาดหนองมน ถ้าชอบโรตีสายไหม บังเปีย จากพระนครศรีอยุธยาก็มาอยู่งานนี้เหมือนกัน
ไม่อยากสาธยายมากไปกว่านี้แล้ว (กลัวจะเสียเวลาชิม) อยากให้พาคุณแม่และครอบครัวไปชมด้วยตา แล้วจะรักและชอบกินขนมไทย ถ้ากลัวอ้วนก็ท่องเอาไว้ แค่ชิม ๆ.