สธ.เตือนระวังมันแกว กินได้แต่หัวกับใบ
อย่ากินเมล็ด แฉมีคนไทยกินไปแล้วถึงตาย 3 ราย แพทย์ช่วยชีวิตไว้ได้ทันอีก6 ราย เพราะมีพิษร้ายแรงในเมล็ด วิธีรักษาในเบื้องต้นให้ดื่มนม-กินไข่ขาวเร็วที่สุด ทำให้อาเจียนก่อนนำส่งร.พ. พิษจะค่อยขับถ่ายทางปัสสาวะ ระบุยังไม่มียารักษาโดยเฉพาะ
เมื่อวันที่ 29 มิ.ย. น.พ.ปราชญ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า
ขณะนี้การบาดเจ็บและเสียชีวิตจากการรับประทานหรือสัมผัสพิษพืชมีแนวโน้มสูงขึ้น โดยมีสาเหตุมาจากความไม่รู้พิษภัยของพืชพิษต่างๆ หรือขาดความระมัดระวังในการนำมารับประทานที่ไม่ถูกวิธี ส่วนใหญ่พืชที่รับประทานมักเกิดพิษได้แก่ เห็ดพิษ มะกล่ำตาแดง เม็ดสบู่ดำ เป็นต้น ตั้งแต่พ.ศ.2548-2551 กระทรวงสาธารณสุขได้รับรายงานมีประชาชนได้รับพิษจากการกินเมล็ดมันแกว 9 ราย ในเดือนก.พ.ที่ผ่านมา โดยแพทย์ช่วยชีวิตไว้ได้ 6 ราย เสียชีวิต 3 ราย
ปลัดกระทรวงสาธารณสุขกล่าวต่อไปว่า
ส่วนของมันแกวที่รับประทานได้ คือ หัว ใบอ่อน และฝักอ่อน โดยหัวมันแกวสามารถนำมาประกอบอาหาร ส่วนฝักอ่อนนำมาต้มจิ้มน้ำพริกได้ ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือนิยมนำฝักและเมล็ดอ่อนมารับประทาน แต่เมื่อใบแก่จะเป็นพิษรับประทานไม่ได้ ในเมล็ดมันแกวมีสารพิษชื่อ โรเทโนน (Rotenone) เพซิไรชิน (Pachyrrhizin) มีฤทธิ์ฆ่าแมลงหลายชนิด และยังพบสารซาโปนิน (Soponin) สามารถละลายน้ำได้เป็นพิษต่อปลา ส่วนใบแก่ของมันแกวมีสารพิษที่มีชื่อว่าเพชี่ไรซิด (Pachyrrhizid) สารโรเทโนนถ้ารับประทานเข้าไปจะระคายเคืองระบบทางเดินอาหาร มีอาการคลื่นไส้ ปวดท้อง และทำลายตับ กระเพาะอาหาร รายที่เป็นรุนแรงอาจมีปัญหาระบบกล้ามเนื้อ หากสูดดมเข้าไปพิษจะรุนแรงอาจเสียชีวิตได้
ด้านน.พ.ธวัช สุนทราจารย์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า
ในการช่วยเหลือผู้ที่เกิดอาการพิษจากเมล็ดมันแกวเบื้องต้น ให้ดื่มนมและไข่ขาวเร็วที่สุด เพื่อทำให้อาเจียนก่อนนำส่งโรงพยาบาลทันที โดยแพทย์มักจะใช้วิธีการรักษาผู้ป่วยประเภทนี้แบบประคับประคองอาการ ไม่มียารักษาโดยเฉพาะ โดยพิษจะค่อยๆ ถูกขับจากร่างกายทางปัสสาวะ
อย่างไรก็ตาม
การป้องกันไม่ให้นำเมล็ดแก่ของมันแกวมารับประทานเป็นวิธีที่ดีที่สุด ทั้งนี้มันแกวมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า เพชี่ไรซัส อีโรซัส (Pachyrhizus erosus (L.) Urb.) ชื่อสามัญคือแยมบีน (Yam Bean) เป็นพืชพื้นเมืองของประเทศเม็กซิโก ปัจจุบันมีการนำมันแกวมาปลูกในประเทศเขตร้อน เช่น แอฟริกาตะวันออก จีน และไทย