"...เหตุการณ์ลักษณะนี้กำลังย้อนกลับมาอีกครั้งใน "รัฐบาลสมัคร"เมื่อรบ.กัมพูชาเสนอให้ "เขาพระวิหาร" เป็นมรดกโลก ปัญหา คือ "แผนที่เขาพระวิหาร" ฉ.ใหม่ของกัมพูชาที่ร่างมาแล้วเสนอให้รบ.ไทยเห็นด้วยนั้น "ล่วงล้ำ"เข้ามาในพื้นที่ทับซ้อนของฝ่ายไทยหรือไม่?
กลายเป็นประเด็นที่ "ต้องเกาะติด" ใกล้ชิด
เมื่อรัฐบาลกัมพูชาเดินหน้าเสนอ "ปราสาทเขาพระวิหาร" ขึ้นทะเบียนเป็น "มรดกโลก" ต่อองค์การศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) ที่จะประชุมในเดือนกรกฎาคมนี้ที่ประเทศแคนาดา เพื่อ "เคาะโต๊ะ" ว่าจะ "รับรอง" หรือ "ไม่รับรอง" ให้ "ปราสาทเขาพระวิหาร" เป็นมรดกโลกหรือไม่
"ข้อพิพาท" เขาพระวิหารกลับมาอยู่ในความสนใจอีกครั้ง เมื่อ พล.ท.พิชษณุ ปุจจาการ อดีตโฆษกกระทรวงกลาโหม ออกมาเปิดประเด็นว่า "สภากลาโหม" มีความห่วงใยว่ากัมพูชา "ชุบมือเปิบ" ได้สิทธิครอบครองพื้นที่ "เขาพระวิหาร" ไปโดยปริยาย
ถือเป็นข้อห่วงใยที่บรรดา "ผบ.เหล่าทัพ" เห็นพ้องกันทิ้งบอมบ์ไว้ให้ "สมัคร สุนทรเวช" นายกรัฐมนตรี แก้ปัญหาทันที เมื่อเข้าร่วมประชุมสภากลาโหมนัดแรก ในฐานะ "เจ้ากระทรวงกลาโหม" เพราะพื้นที่ "เขาพระวิหาร" ยังมีประเด็นเรื่อง "พื้นที่ทับซ้อน" ระหว่างไทยและกัมพูชาอยู่
เมื่อย้อนดูประวัติศาสตร์ "เขาพระวิหาร" เป็นการเสียดินแดนสุดท้ายที่ไทยสูญเสียให้แก่ประเทศเพื่อนบ้าน ด้วยตำแหน่งที่ตั้งของปราสาทเขาพระวิหารอยู่ระหว่างชายแดนไทยและกัมพูชา ทำให้เกิดกรณีพิพาทโต้แย้งขึ้นว่า "ใครเป็นผู้ครอบครอง" และ "ดูแลปราสาทหิน" แห่งนี้
ย้อนไปปี 2447 ถึง 2451 ฝรั่งเศสเป็น "รัฐผู้อารักขากัมพูชา" ทำสัญญากับไทยหลายฉบับ แต่สัญญาที่เป็นปัญหา คือ สัญญาลงวันที่ 13 กรกฎาคม 2447 ตกลงว่า พรมแดนที่เป็นปัญหาให้ถือเอาสันปันน้ำเป็นเกณฑ์การแบ่งเขตแดน และให้แต่งตั้งคณะกรรมการปักปันเขตแดน เพื่อสำรวจบริเวณพื้นที่แถบนั้น