ในที่สุดศาลปกครองกลางก็มีคำสั่ง ไม่คุ้มครองชั่วคราวพนักงานทีไอทีวี
หลังจากที่ได้ยื่นคำร้องไว้ให้ ออกอากาศได้ตามปกติ ภายหลังถูกอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ สั่งยุติการออกอากาศ เมื่อเที่ยงคืนวันที่ 14 ม.ค. เนื่องจากกฎหมายทีวีสาธารณะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 15 ม.ค. ซึ่งจากคำตัดสินของศาลปกครอง ส่งผลให้พนักงานทีไอทีวีหลายร้อยชีวิตต้องตกงาน ปิดฉากการเป็นทีวีเสรีที่ครองใจผู้ชมมาเป็นเวลายาวนาน แต่อย่างไรก็ตาม ศาลปกครองได้รับคำฟ้องไว้พิจารณา
ทั้งนี้ หลังจากทุกฝ่ายใจจดใจจ่อรอลุ้นระทึกมาเป็นเวลาหลายชั่วโมง นับตั้งแต่ช่วงบ่ายวันที่ 17 ม.ค.
ในค่ำวันเดียวกัน ศาลปกครองกลางได้แจ้งคำสั่งผ่านทางโทรสาร ไปยังคู่ความทั้ง 2 ฝ่าย คือทีไอทีวีและอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ กรณีอดีตพนักงานทีไอทีวียื่นคำร้องขอให้มีการคุ้มครองชั่วคราว และเพิกถอนคำสั่งของกรมประชาสัมพันธ์ ที่ให้ สถานีโทรทัศน์ทีไอทีวี ยุติการแพร่ภาพตั้งแต่เที่ยงคืนวันที่ 14 ม.ค. โดยศาลมีคำสั่งไม่คุ้มครองชั่วคราวตามคำร้องของผู้ฟ้องคดี เนื่องจากไม่เข้าเงื่อนไขที่จะออกคำสั่งดังกล่าว แต่ให้รับคำฟ้องไว้พิจารณา
ก่อนหน้านี้เมื่อเช้าวันเดียวกัน คณะกรรมการนโยบายชั่วคราว องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย หรือไทยพีบีเอส ทั้ง 4 คน
มีนายขวัญสรวง อติโพธิ ประธานไทยพีบีเอส นายเทพชัย หย่อง รักษาการ ผอ.สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส นายณรงค์ ใจหาญและนายอภิชาติ ทองอยู่ คณะกรรมการไทยพีบีเอส ได้ประชุมร่วมกันเกี่ยวกับการหาสถานที่ตั้งสถานี เงินงบประมาณที่จะนำมาบริหารจัดการบุคลากร การโอนถ่ายทรัพย์สินจากทีไอทีวีและการออกอากาศ จากนั้นในเวลา 13.00 น. การประชุมจึงเสร็จสิ้น โดยที่ประชุมมีมติให้นายเทพชัย หย่อง มีอำนาจหน้าที่ในการจัดจ้างบุคลากร ที่มีความจำเป็นเร่งด่วน เพื่อให้สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส สามารถออกอากาศให้ทันในวันที่ 1 ก.พ. อาทิ เจ้าหน้าที่การเงิน ฝ่ายกฎหมาย ฝ่ายการพนักงาน ช่างเทคนิคต่างๆ ทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค รวม 55 จุด นอกจากนี้ ยังมีการหารือกันถึงเรื่องทรัพย์สินต่างๆ ของทีไอทีวี ที่ขณะนี้มีหนี้สินประมาณ 120 ล้านบาท
นายเทพชัยเผยในเวลาต่อมาว่า หลักเกณฑ์การพิจารณาคัดเลือกบุคลากร เพื่อปฏิบัติงานผลิตข่าวของไทยพีบีเอส จะคัดจากใบสมัครของผู้สมัคร ที่เคยเป็นพนักงานทีไอทีวีเดิมและบุคคลทั่วไป ไม่มีการปิดกั้น
โดยจะพิจารณาเป็นเฟส ขึ้นอยู่กับปริมาณงาน ตอนนี้มีผู้ผลิตรายการติดต่อเข้ามาบ้างแล้ว แต่ในเฟสแรกไทยพีบีเอส ยังไม่มีรายการประเภทต่างๆ นอกจากรายการข่าวเท่านั้น ส่วนบรรยากาศการรับสมัครพนักงาน สถานีโทรทัศน์ ไทยพีบีเอส ในวันที่สองของการเปิดรับสมัครคือวันที่ 17 ม.ค.นั้น ปรากฏว่ามีผู้สนใจเข้ามาสมัครแล้วกว่า 400 คน ทำให้บรรยากาศเริ่มคึกคัก เนื่องจากมีผู้เข้ามาสมัครอย่างต่อเนื่อง อาทิ ผู้ประกาศข่าวจากสถานีโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5 และช่างภาพ ผู้สื่อข่าวจากสถานีโทรทัศน์ เอเอสทีวี เป็นต้น ต่อมาได้มีอดีตผู้ประกาศข่าวและผู้สื่อข่าวของทีไอทีวี คือนายชัยรัตน์ ถมยา และน.ส.ปวีณมัย บ่ายคล้อย ไปยื่นใบสมัครด้วย นอกจากนี้ ยังมีนายวรัญชัย โชคชนะ นักเคลื่อนไหวทางการเมือง ได้มายื่นใบสมัครทำงานในตำแหน่งพิธีกรข่าวการเมือง โดยได้แสดงความมั่นใจว่าจะได้รับการพิจารณาเข้าทำงาน เนื่องจากมีประสบการณ์ด้านการเมืองมายาวนาน
สำหรับบรรยากาศที่สถานีโทรทัศน์ทีไอทีวี อาคารชินวัตร 3 ตั้งแต่ช่วงเช้าวันเดียวกันนี้ ที่กองบรรณาธิการฝ่ายข่าว มีความคึกคักมากกว่าทุกวัน
เนื่องจากมีพนักงานฝ่ายต่างๆ พากันทยอยเดินทางเข้ามารอฟังผลการวินิจฉัยของศาลปกครอง ซึ่งจะมีการส่งผลการวินิจฉัยคำร้อง มาให้ทราบทางโทรสารในช่วงบ่าย ทุกคนต่างรอลุ้นอย่างใจจดใจจ่อ ถึงผลการตัดสินของศาลว่าจะออกมาในทิศทางไหน ขณะเดียวกัน พนักงานแต่ละคนได้มีการถ่ายภาพ เพื่อใช้ติดใบสมัครงานและจัดเตรียมเอกสารส่วนตัว สำหรับใช้สมัครงานตำแหน่งต่างๆ กับทีวีสาธารณะทีพีบีเอส โดยมีการจัดกล่องใส่ใบสมัครเพื่อรวบรวมนำส่งไปยังกรมประชาสัมพันธ์ ก่อนวันที่ 19 ม.ค.
ขณะที่นายอัชฌา สุวรรณปากแพรก อดีต ผอ.ฝ่ายข่าวทีไอทีวี ได้เดินพูดคุยให้กำลังใจพนักงานตามโต๊ะข่าวต่างๆ
จากนั้น ได้เรียกประชุมหัวหน้าโต๊ะข่าว เพื่อกำหนดทิศทางหลังจากทราบผลการวินิจฉับคำร้องต่อศาลปกครอง พร้อมทั้งให้ประกาศเสียงตามสายให้พนักงานทุกคน ประชุมและฟังผลการวินิจฉัยร่วมกันที่สตูดิโอถ่ายทอดสดบนชั้น 15 ในเวลา 15.00 น. ส่วนนายฉัตรชัย ตะวันธรงค์ รอง ผอ.ฝ่ายข่าว เปิดเผยว่า หากศาลปกครองมีคำสั่งคุ้มครอง ทีไอทีวีก็มีความพร้อมที่จะทำการออกอากาศได้ทันทีในช่วงเย็น อย่างไรก็ตาม ยังต้องขึ้นอยู่กับเงื่อนไขต่างๆ ที่จะตามมาด้วยว่าต้องปฏิบัติอย่างไร และทางช่อง 11 จะปล่อยให้ทีไอทีวีออกอากาศได้หรือไม่ ตอนนี้ยังต้องรอผลการตัดสินของศาลก่อน
ต่อมามีนายสมยศ พฤกษาเกษมสุข แกนนำกลุ่ม 24 มิถุนาประชาธิปไตย พร้อมคณะประมาณ 10 คนนำกระเช้าดอกไม้เข้าให้กำลังในพนักงานทีไอทีวีที่ห้องบรรณาธิการข่าวบนขั้น 13
และได้มีการประกาศแถลงการณ์ คัดค้านกฎหมายเผด็จการทำลายสื่อเสรีว่า การให้มีการยุติออกอากาศเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนของพนักงาน แสดงถึงความเป็นเผด็จการป่าเถื่อน ส่อให้เห็นเจตนาที่จะเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์จากทีวีเสรีอย่างไร้ยางอาย ขอเรียกร้องให้รัฐบาลตั้งสถานีใหม่ขึ้นมาอีกสถานีหนึ่งเพื่อเป็นทีวีสาธารณะ แล้วปล่อยให้ทีไอทีวีเป็นทีวีเสรีต่อไป ด้วยการให้สัมปทานกับภาคเอกชนที่ไม่สูงเกินไปและเรียกร้องให้พนักงานทีไอทีวีรวมตัวกันสร้างอำนาจต่อรอง เพื่อปกป้องสิทธิของพนักงานทุกระดับชั้น