การขยายตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐถือว่ามีความเสี่ยงมากขึ้น
เศรษฐกิจโลก ซึ่งได้รับผลกระทบจากวิกฤติสินเชื่อสหรัฐที่กำลังกัดกร่อนตลาดเงินอยู่ในเวลานี้ คาดการณ์ว่าจะขยายตัวได้ในปี 2551 แม้ว่าจะเติบโตไปอย่างช้า ๆ พร้อม ๆ กับความหวาดกลัวว่าจะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยก็ลดน้อยลง แต่ดูเหมือนว่าการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปีใหม่นี้จะไม่ถูกขับเคลื่อนโดยเศรษฐกิจในสหรัฐ ญี่ปุ่นและยุโรปตะวันตกเหมือนในอดีตที่ผ่านมา แต่เครื่องจักรสำคัญที่จะผลักดันการขยายตัวทางเศรษฐกิจจะย้ายไปอยู่ที่จีน อินเดียและประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่อื่น ๆ แทน
ในรายงานเกี่ยวกับภาพรวมเศรษฐกิจโลกฉบับล่าสุด กองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือไอเอ็มเอฟ คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจโลกจะขยายตัวได้ร้อยละ 5.2 ในปี 2550 และขยายตัวพอประมาณที่ร้อยละ 4.8 ในปี 2551 เมื่อเทียบกับร้อยละ 5.4 ของปี 2549 การคาดการณ์เศรษฐกิจในปี 2551 ปรับลดลงเกือบร้อยละ 0.5 สะท้อนให้เห็นสภาพความปั่นป่วนในตลาดการเงิน
มีความวิตกกังวลว่า ความโกลาหลในตลาดการเงินอาจดำดิ่งลงกว่าเดิม และจุดชนวนให้เกิดภาวะชะลอตัวไปทั่วโลกมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ นอกจากนี้ ความกดดันของภาวะเงินเฟ้อ ตลาดน้ำมันที่เปราะบาง และการหลั่งไหลของเงินตราต่างประเทศเข้าสู่ตลาดเกิดใหม่ ก็เป็นภัยคุกคามต่อเศรษฐกิจโลกด้วย
ไอเอ็มเอฟ แถลงว่า ความปั่นป่วนในตลาดเงินที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในเวลานี้ และการเพิ่มขึ้นครั้งใหม่ของราคาน้ำมัน ทำให้การคาดการณ์ภาพรวมทางเศรษฐกิจ ไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ตั้งแต่มีการตรวจสอบข้อมูลครั้งใหม่ในเดือน ต.ค. ที่ผ่านมา นายจอห์น ลิปสกี้ รองผู้อำนวยการคนที่หนึ่งของไอเอ็มเอฟ ให้สัมภาษณ์ผ่านเว็บไซต์ของไอเอ็มเอฟ เมื่อวันที่ 11 ธ.ค. ที่ผ่านมาระบุว่า เฉพาะภาพรวมการขยายตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐถือว่ามีความเสี่ยงมากขึ้น
ขณะที่บรรดานักเศรษฐศาสตร์กล่าวว่า ตลาดน้ำมันโลกยังตึงตัวอย่างมาก และขีดความสามารถยังอยู่ในขอบเขตจำกัด, มีความวิตกกังวลเกี่ยวกับปริมาณการผลิตน้ำมัน หรือความวิตกกังวลเกี่ยวกับภูมิศาสตร์การเมืองที่อยู่ในระดับที่สูง อาจทำให้ราคาน้ำมันเพิ่มสูงขึ้นอีก ซึ่งก็จะส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ ทำให้ภาวะเงินเฟ้อเพิ่มตามไปด้วย