เผยเทศนาสุดท้ายก่อนสึก ทิดอลงกต สารภาพ สวมรอยใช้ชื่อเพื่อนรัก

หน้าแรกTeeNee ที่นี่ข่าววันนี้, ข่าวหน้าหนึ่ง ข่าวอื่นๆ เผยเทศนาสุดท้ายก่อนสึก ทิดอลงกต สารภาพ สวมรอยใช้ชื่อเพื่อนรัก

เพจดาวแปดแฉกรายงานว่า ในการสอบปากคำ "ทิดอลงกต" หลังลาสิกขา เขาได้ เปิดปากยอมรับสารภาพ ถึงตัวตนที่แท้จริง และที่มาของการใช้ชื่อ "อลงกต พลมุข" มานานหลายสิบปี

จากข้อมูลการสอบสวน ยืนยันว่า รากเหง้าเดิมของเขาคือ นายเกรียงไกร เพ็ชรแก้ว (ชื่อเล่น "จอร์จ") เกิดปี 2503 ชาวจังหวัดขอนแก่น เรียนที่ โรงเรียนแก่นนครวิทยาลัย ก่อนจะไปเรียนต่อที่วิทยาลัยเกษตรบ้านกร่าง ระดับ ปวช. แต่ไม่จบหลักสูตร

ในช่วงนั้น เขาได้ขึ้นทะเบียนเป็นทหารกองเกินที่อำเภอเมืองขอนแก่น แต่ ไม่ได้เข้ารับการเกณฑ์ทหาร เพราะปี 2524 ได้หลบหนีออกนอกประเทศผ่านช่องทางธรรมชาติ ไปทำงานที่ประเทศมาเลเซีย

ที่มาเลเซีย เขาทำงานเป็น คนเขียนแบบก่อสร้างตึกปิโตรนาส จนกระทั่งปี 2529 จึงเดินทางกลับไทยอีกครั้ง โดยกลับเข้ามาผ่านช่องทางธรรมชาติ และมากับคณะผู้แสวงบุญเพื่อศึกษาพระธรรม

วันที่ 1 มีนาคม 2529 เวลา 07.36 น. เขาตัดสินใจบวชที่ วัดลำนารายณ์ และตั้งใจ "ไม่สึก" เพราะกลัวคดีหนีทหารจะตามมาถึงตัว

ต่อมา วันที่ 25 พฤษภาคม 2536 เขาย้ายมาอยู่ที่ วัดพระบาทน้ำพุ และจำพรรษาอยู่เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน

เพื่อปกปิดประวัติและหลบเลี่ยงปัญหาทางกฎหมาย เขาได้ สวมรอยใช้ชื่อเพื่อนรักสมัยอยู่ขอนแก่น คือ "อลงกต พลมุข" โดยเพื่อนคนนี้ไม่เคยรู้เรื่องมาก่อนว่าชื่อของตนถูกนำมาใช้

เขายังยอมรับว่า รายละเอียดเกี่ยวกับ เอกสารทางพระศาสนา เช่น "ใบสุทธิ" ต่าง ๆ ที่ไม่ตรงกับความจริงนั้น เป็นสิ่งที่เขา "เขียนขึ้นเองทั้งหมด"

รายงานระบุเพิ่มเติมว่า การสอบปากคำครั้งนี้ "ทิดอลงกต" ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี โดยเฉพาะการยืนยันตัวบุคคล ว่าตนเองไม่ใช่ "อลงกต พลมุข" ตัวจริง หากแต่เป็นการปลอมแปลงเอกสารและสวมรอยชื่อมาตลอดกว่า 30 ปี

คำเทศน์สุดท้าย ก่อนสึก
"พุทธศาสนิกชนคนไทยทั้งหลาย หลวงพ่อทำงานที่เป็นประโยชน์มามากกว่า 30 ปี แต่ก็มีข้อบกพร่องผิดพลาดไปบ้าง

หลวงพ่ออยากให้ความเข้าใจว่ามันมีสองด้าน ด้านทางธรรม และด้านทางโลก ที่เกี่ยวเนื่องกัน หลวงพ่อก็มีข้อบกพร่อง และบางเรื่องก็เป็นเรื่องใหญ่ เรื่องสำคัญ เป็นเรื่องผิดทั้งทางโลกและบ้านเมือง

อยากฝากข้อคิดไว้กับญาติโยม 2 เรื่อง คือ ศรัทธา และการฟื้นฟูศรัทธา "สิ่งที่ทำผิดพลาดไปแล้ว ไม่ว่าจะทางโลกหรือทางธรรม เราก็ต้องรับผิดชอบต่อการกระทำของตนเอง" ดังคำที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ว่า "สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม"