
รู้แล้ว ทำไมลุงพลไม่รอด? ทนายดัง เปิดข้อต่อสู้ในศาล ให้ดูชัด ๆ

ทนายดัง รณรงค์ แก้วเพชร ศาลชี้พิรุธคำให้การ "ลุงพล" ทั้งอ้างภรรยาโทรบอกทั้งที่ไม่มีโทรศัพท์ รู้ข่าวหลานหายล่วงหน้า พยายามให้พยานเปลี่ยนเวลาเห็นตน จึงไม่อาจรับฟังได้
ลุงพลพูดอะไรศาลถึงไม่เชื่อ?
พยานครอบครัว (เด็กหญิง ก. - พี่ของผู้ตาย)
• จำเลยโต้: เด็กหายไปช่วงสั้น ๆ ใครก็อุ้มได้ ไม่ชี้เฉพาะตน
• ศาลรับฟัง: เด็กหญิง ก. เบิกความว่า "ไม่ได้ยินเสียงร้อง" ขณะที่น้องหาย และโดยนิสัย เด็กจะร้องหากถูกคนแปลกหน้าอุ้ม ศาลจึงอนุมานว่า "ผู้พาเด็กไปเป็นคนใกล้ชิด/รู้จักดี" เป็นฐานให้ตำรวจจำกัดกลุ่มเป้าหมายในหมู่ญาติ/คนคุ้นเคย 14 คน ก่อนตรวจตัดออกด้วยข้อมูลที่อยู่-สัญญาณมือถือ จนเหลือจำเลยที่ยืนยันไม่ได้ชัดเจนในช่วงเวลาเด็กหาย
ไปวัด-ภรรยาโทรบอก"
• คำให้การฝ่ายจำเลย: เช้าวันเกิดเหตุ ลุงพลออกไปรับพระที่ วัดถ้ำภูผาแอก และ "ภรรยาโทรมาแจ้งระหว่างทาง" ว่าน้องชมพู่หาย จึงอ้างว่าไม่อยู่ใกล้ที่เกิดเหตุในช่วงวิกาลสำคัญ
• ดุลพินิจของศาลชั้นต้น: ศาลชี้ว่าในครอบครัวมีโทรศัพท์เพียงเครื่องเดียวซึ่งอยู่กับภรรยา "ย่อมโทรหาไม่ได้" อีกทั้ง "พระ บ." ที่จำวัดเดียวกันเบิกความว่า เวลาประมาณ 10.00 น. ลุงพลมาถึงวัดและพูดว่า "หลานหาย เกือบไม่ได้ไปส่งพระ" ทั้งที่ในขณะนั้น ลุงพลไม่มีโทรศัพท์ติดตัว จึง "ไม่น่าจะทราบข่าวได้" ข้ออ้างอัลไบจึงเป็น พิรุธ ไม่ช่วยจำเลยในประเด็นนี้ (ศาลยังรับน้ำหนักร่วมกับพยานบุคคลใกล้ทางขึ้นภูฯ และพยานวิทยาศาสตร์อื่น ๆ)
พยานบุคคลใกล้จุดทางขึ้นภูเหล็กไฟ (นาย ว. และนาง พ.)
• จำเลยโต้/พยายามลดน้ำหนัก: โต้แย้งว่าพยานจำผิดเวลา และภายหลังหนึ่งในพยานกลับคำในศาลว่า "ไม่ได้เห็นจำเลย"
• ศาลประเมิน: รับฟังคำให้การ ชั้นสอบสวน ของพยานทั้งสองที่ระบุว่าเห็นจำเลยอยู่บริเวณ "สวนยางพารา" ซึ่งเป็นทางขึ้นภูเหล็กไฟ ในช่วงเวลาคาบเกี่ยวเหตุ; ศาลยังชี้ "จำเลยเคยไปพูดกับนาย ว. ให้ปรับเวลาที่พบเป็น 07.00 น." เพื่อลดความน่าสงสัย จึงเห็นเป็น ข้อพิรุธ ส่วนการกลับคำของนาง พ. หลังเหตุหลายปี "น่าเชื่อถือน้อยกว่า" คำให้การเดิมในชั้นสอบสวน จึงยังคงน้ำหนักต่อจำเลย
ผู้เชี่ยวชาญนิติวิทยาศาสตร์ (ประเด็น "เส้นผม")
• จำเลยโต้: พยายามตั้งข้อสงสัยถึงการเชื่อมโยง-เส้นผมในรถจะเกี่ยวกับจุดพบศพได้อย่างไร
• ศาลรับฟัง/ลงน้ำหนัก: ตรวจพบ "เส้นผม 16 เส้น" ในรถจำเลย โดย เส้นหนึ่ง มี "องศารอยตัด-หน้าตัด-พื้นผิวด้านข้าง" ตรงกับ เส้นผมของผู้ตาย สองเส้น ที่เก็บบนภูเหล็กไฟ ศาลลงความว่า "ถูกตัดพร้อมกันด้วยของมีคมชนิดเดียวกัน" จึงเชื่อมเหตุ (ขึ้นรถ-ขึ้นเขา) เข้าหากันได้แน่นหนา ข้อโต้แย้งฝ่ายจำเลยจึงไม่สั่นคลอนน้ำหนักพยานผู้เชี่ยวชาญนี้
ผู้เชี่ยวชาญ mtDNA (ประเด็น "ป้าแต๋น")
• จำเลยร่วม (จำเลยที่ 2) โต้: ปัดข้อหาเกี่ยวกับศพ
• ศาลวินิจฉัย: แม้ผล mtDNA จากเส้นผม 3 เส้นแถวจุดพบศพ "ตรงกับสายมารดาเดียวกับผู้ตาย" (จึง อาจตรงกับป้าแต๋น) แต่ mtDNA ระบุตัวบุคคลไม่ได้ ศาลจึง "ยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้ทั้งสองจำเลย" ในข้อหาทำการแก่ศพ/สภาพแวดล้อมก่อนชันสูตร (ยกฟ้องป้าแต๋นในชั้นต้น)
พนักงานสอบสวน/โครงสร้างคดี (ตัดข้อกล่าวหาว่า "มุ่งเป้า")
• จำเลยโต้: โดยรวมพยายามตั้งข้อสงสัยว่าคดีถูกปักธง
• ศาลชี้: กระบวนสืบสวน "ไม่มุ่งเป้าจำเลยแต่แรก" แต่ค่อย ๆ คัด 14 คน จาก ญาติ 12 + คนใกล้ชิด 2 ด้วยหลักฐานที่อยู่/สัญญาณมือถือ จนเหลือจำเลยเพียงคนเดียวที่ "อธิบายฐานที่อยู่ช่วงเวลาเด็กหายไม่ได้ชัดเจน" ข้อนี้เสริม "ภาพรวมความเชื่อมโยง" ว่าจำเลยเป็นผู้พาเด็กขึ้นเขา
ผลชั้นต้น (20 ธ.ค. 2566)
ศาลพิพากษาว่า ลุงพลผิด 2 กระทง
• มาตรา 317 วรรคแรก (พรากเด็ก) จำคุก 10 ปี
• มาตรา 291 (ประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย) จำคุก 10 ปี
รวม 20 ปี (ยกข้อหาอื่นทั้งหมดของจำเลยที่ 1; ยกฟ้อง จำเลยที่ 2) โดยศาลให้เหตุผลว่า "ไม่รับเจตนาฆ่า" แต่เห็นว่า "พาเด็กขึ้นเขาแล้วทอดทิ้งโดยประมาทจนถึงตาย" ทั้งยังบันทึกความเห็นแย้งของผู้บริหารศาลระดับภาคตาม ม.11(1) แนบไว้ในสำนวนด้วย (ความเห็นแย้งให้ยกฟ้อง)
สำนวนคดีนี้สืบพยานโจทก์ 47 ปาก และพยานจำเลย 20 ปาก เสร็จสิ้น ก.ค. 2566 ก่อนมีคำพิพากษาในเดือน ธ.ค. 2566 ข้อมูลนี้ช่วยให้เห็น "ฐานพยาน" ที่ศาลใช้ชั่งน้ำหนักในภาพรวมของชั้นต้น
เมื่อนำมารวมกัน ศาลจึงเห็นว่า จำเลยเป็นผู้พาเด็กขึ้นเขาแน่นอน ส่วนองค์ประกอบ "เจตนาฆ่า" ยังไม่ถึงจุดเชื่อโดยปราศจากสงสัยในชั้นต้น จึงลง ประมาทฯ + พรากเด็ก แทน (ต่อมาศาลอุทธรณ์ภาค 4 แก้เป็น "เจตนาฆ่าโดยเล็งเห็นผล" โทษรวม 26 ปี ซึ่งเป็นอีกประเด็นหนึ่ง)
Love illusion ความรักลวงตา เพลงที่เข้ากับสังคมonline
Love illusion Version 2คนฟังเยอะ จนต้องมี Version2กันทีเดียว
Smiling to your birthday เพลงเพราะๆ ไว้ส่งอวยพรวันเกิด หรือร้องแทน happybirthday