นิตยสารไทม์ ขึ้นปกนายกรัฐมนตรีไทย พาดหัวว่า เดอะ เซลส์แมน


นิตยสารไทม์ ขึ้นปกนายกรัฐมนตรีไทย พาดหัวว่า เดอะ เซลส์แมน

นิตยสารไทม์ ขึ้นปกนายกรัฐมนตรีไทย พาดหัวว่า "เดอะ เซลส์แมน นายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน กำลังเปิดโอกาสทางธุรกิจ ในประเทศที่ผู้คนรู้สึกว่าไม่แฟร์กับการที่เขาได้เป็นนายกฯ จากการเลือกตั้ง" (The salesman Thai Priminister, Srettha Thavisin is open for business in a country that feels shortchanged by his election)

ไทม์ ตั้งคำถามว่า นายกรัฐมนตรีคนใหม่ของประเทศไทยกำลังเริ่มปฏิบัติหน้าที่แล้ว แต่เขาจะเยียวยาประเทศของเขาได้หรือไม่

นาย ชาร์ลี แคมป์เบล นักข่าวนิตยสารไทม์ ซึ่งเป็นผุ้เขียนบทความนี้ เริ่มต้นบทความด้วยการกล่าวถึงทำเนียบรัฐบาลไทยว่า คนธรรมดาๆจะไม่มีทางเดินขึ้นไปบนชั้นสองของอาคาร ทำเนียบรัฐบาลซึ่งเป็นอาคารสไตล์เวเนเทีย-โกธิกแห่งนี้ได้ เพราะชั้นสองสงวนไว้สำหรับงานราชการเท่านั้น นักข่าว (และแม้แต่แขกผู้มีเกียรติ) จะได้รับอนุญาตให้เดินอยู่ชั้นล่างที่ประดับด้วยหินอ่อน เท่านั้น ทุกสิ่งที่อยู่เหนือบันไดใหญ่แห่งนั้นถูกสววนเอาไว้

แคมป์เบลบรรยายต่อว่า แต่นายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสินใช้เวลาไม่นานในการล้มล้างระเบียบปฏิบัตินี้และเรานั่งลงเพื่อสนทนาเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมงโดยไม่มีการจดบันทึก

แคมป์เบล บรรยายว่า เศรษฐา คืออดีตเจ้าพ่ออสังหาริมทรัพย์ซึ่งเข้ารับตำแหน่งในเดือนกันยายน วัย 62 ปี จะไม่มีอะไรเลยนถ้าหากนายกเศรษฐกิจไม่ออกเดินทางไปนอกประเทศ เขาได้เดินทางไปต่างประเทศมากกว่า 10 ครั้งเพื่อขึ้นเทียบเชิญนักลงทุน รวมถึงจีน ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา และการประชุมเศรษฐกิจโลกที่ดาวอส ประเทศสวิตเซอร์แลนด์

ห้องประชุมเล็กๆ ที่เขานั่งคุยกับ TIME นั้นรายล้อมไปด้วยกระดานไวท์บอร์ดที่เต็มไปด้วยวัตถุประสงค์เชิงนโยบายที่เขียนอย่างคร่าวๆ เช่น นโยบายกระเป๋าเงินดิจิทัล ศูนย์กลางการบินแห่งชาติ เหมืองแร่โปแตช เทสลา

ความพยายามของเขากำลังเห็นผลบ้างแล้ว โดยตัวเลขการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ในไตรมาสที่สี่ของปีที่แล้ว เพิ่มขึ้นสองเท่า เมื่อเทียบเป็นรายปี เฉพาะ ในเดือนพฤศจิกายนเพียงเดือนเดียว เขาได้เปิดเผยถึงการลงทุนในไทย โดยบริษัทต่างชาติรายใหญ่ ไม่ว่าจะเป็น Amazon Web Services, Google และ Microsoft มูลค่ารวม 8.3 พันล้านดอลลาร์ ด้วยเสน่ห์อันล้นเหลือของพนักงานขายคนนี้ เขากล่าวว่า "ผมอยากบอกให้โลกรู้ว่าประเทศไทยกลับมาเปิดประตูสำหรับธุรกิจอีกครั้ง"แคมป์เบลระบุว่า มันขึ้นอยู่กับเวลา. ในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา ดินแดนแห่งรอยยิ้มแห่งนี้ต้องเผชิญกับความแตกแยกทางการเมืองอันขมขื่น ซึ่งทำให้กองทัพไทยยึดอำนาจในการรัฐประหารปี 2557 และเขียนรัฐธรรมนูญขึ้นใหม่เพื่อรับประกันบทบาทชี้นำกองทัพของประเทศ (เศรษฐาเข้ามาแทนที่นายพลที่ควบคุมนโยบายดังกล่าว)

แต่ภายใต้ทศวรรษถัดมาของการปกครองกึ่งทหารที่สับสนวุ่นวาย เศรษฐกิจของไทยซึ่งใหญ่เป็นอันดับสองของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็ซบเซาลง ในขณะที่ความเหลื่อมล้ำก็เพิ่มสูงขึ้น

ตามข้อมูลของ เครดิต สวิส โกลบอล เวลธ์ ดาต้า บุค Credit Suisse Global Wealth Databook ในปี 2561 ระบุว่าคนที่รวยที่สุด 1% ของประเทศไทยควบคุมความมั่งคั่งได้ 66.9% (ขณะที่ในสหรัฐอเมริกา คิดเป็นประมาณ 26.5%)

ขณะเดียวกัน คนหนุ่มสาวหลายพันคนออกมาเดินขบวนตามท้องถนนในช่วงสี่ปีที่ผ่านมาเพื่อเรียกร้องให้กองทัพและสถาบัน หยุดก้าวก่ายกระบวนการประชาธิปไตย โดยชูสัญลักษณ์สามนิ้วสไตล์ Hunger Games เป็นสัญญาณแสดงถึงความไม่พอใจทั้งสุญญากาศทางประชาธิปไตยและความผิดพลาดทางการคลัง

แคมป์เบล บรรยายว่า นาย เศรษฐาเป็นคนตรงไปตรงมาเกี่ยวกับการเดิมพัน เขาบอกว่าประเทศไทยกำลัง "วิกฤตเศรษฐกิจ" ซึ่งเป็นวิกฤตที่ต้องรับมือโดยตรง เขาได้ลดภาษีเชื้อเพลิง ประกาศพักชำระหนี้เป็นเวลา 3 ปีสำหรับเกษตรกรที่ประสบปัญหา และวางแผนที่จะเปิดตัวโครงการกระเป๋าเงินดิจิทัลที่จะมอบเงิน 10,000 บาท ($280) ให้กับผู้ใหญ่ชาวไทยทุกคนเพื่อกระตุ้นการบริโภค

เขายกเว้นวีซ่าสำหรับผู้มาเยือนจากจีนและอินเดีย โดยมีแผนจะขยายไปยังประเทศอื่นๆ อีกหลายประเทศ นอกเหนือจากการท่องเที่ยวแล้ว เศรษฐายังต้องการเพิ่มบทบาทของประเทศไทยในฐานะศูนย์กลางด้านโลจิสติกส์ การดูแลสุขภาพ และการเงิน


นอกจากนี้ เขายังเตรียมที่จะยกระดับชื่อเสียงของประเทศไทยในเวทีโลก โดยได้ให้การต้อนรับ นาย เจค ซัลลิแวน ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ และ หวัง ยี่ นักการทูตระดับสูงของจีนในเดือนมกราคม สำหรับการหารือที่ละเอียดอ่อนระหว่างคู่แข่งมหาอำนาจ เขาหวังว่าประเทศไทย ซึ่งเป็นพันธมิตรที่เก่าแก่ที่สุดของอเมริกาในเอเชียที่มีความเชื่อมโยงทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมอย่างลึกซึ้งกับจีน จะสามารถทำหน้าที่เป็น "สะพาน" และ "พื้นที่ปลอดภัย" ได้ เขาบอกว่าพร้อมที่จะยกระดับชื่อเสียงของไทยในระดับนานาชาติ "ผมอยากเห็นประเทศไทยเปล่งประกาย"

แต่หนทางข้างหน้ายังคงมืดมนอย่างเห็นได้ชัด พรรคเพื่อไทย ของเศรษฐาไม่ได้ชนะเป็นอันดับ 1 ในการเลือกตั้งทั่วไปในเดือนพฤษภาคม แต่มาอยู่ในอันดับที่สองตามหลังพรรคก้าวไกล ซึ่งเป็นพรรคที่ประกาศอย่างสุดโต่งเรียกร้องให้ควบคุมทหารระดับสูง กลุ่มบริษัท และสถาบัน พรรคก้าวไกลถูกขัดขวางไม่ให้มีอำนาจโดยวุฒิสภาที่แต่งตั้งโดยทหาร แม้ว่าพรรคก้าวไกลจะได้ที่นั่งในสภามากที่สุดจำนวน 151 ที่นั่งจากทั้งหมด 500 ที่นั่งก็ตาม


หลังจากนั้น พรรคเพื่อไทยได้รวมกลุ่มพันธมิตร 10 พรรคเพื่อให้เศรษฐาได้ตำแหน่งสูงสุดด้วยการสนับสนุนจากวุฒิสภา

บทความระบุว่า สิ่งที่ขัดแย้งกันก็คือ เศรษฐากำลังต่อสู้เพื่อแก้ไขเศรษฐกิจของประเทศ โดยจับมือร่วมกับกลุ่มเดิมที่ขัดขวางการปฏิรูป และเมื่อพิจารณาจากภาวะย่ำแย่ของเศรษฐกิจไทยและเส้นทางสู่อำนาจที่ขัดแย้งกัน เขาจึงตกอยู่ภายใต้แรงกดดันอย่างหนักที่จะต้องสร้างผลกำไรที่แท้จริงและรวดเร็ว



นิตยสารไทม์ ขึ้นปกนายกรัฐมนตรีไทย พาดหัวว่า เดอะ เซลส์แมน

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์