สเต็มเซลล์ใหม่-ไม่ใช้ตัวอ่อน

นายแพทย์ชินยะ ยามานาคะ จากเกียวโต ยูนิเวอร์ซิตี้ และคณะ

จากประเทศญี่ปุ่น ประสบความสำเร็จในการสร้างสเต็มเซลล์จากเซลล์ผิวหนังโดยไม่ใช้สเต็มเซลล์จากตัวอ่อนเลย ความสำเร็จนี้ทำให้บรรดาแพทย์มีโอกาสรักษาโรคได้โดยไม่ผิดหลักจริยธรรมที่ต้องฆ่าตัวอ่อน


ดร.โรเบิร์ต แลนซ่า เจ้าของบริษัทแอดวานซ์ เซล เทคโนโลยี

ซึ่งพยายามสกัด สเต็มเซลล์จากตัวอ่อนมนุษย์ ยกย่องว่า งานวิจัยของนายแพทย์ยามานาคะเป็นโฉมหน้าใหม่ทางวิทยาศาสตร์ "เทียบเท่ากับพี่น้องตระกูลไรต์สร้างเครื่องบินเลยทีเดียว"


นายแพทย์ยามานาคะ อายุ 45 ปี คิด ค้นเทคนิคตั้งโปรแกรมเซลล์ใหม่ ให้สเต็มเซลล์สามารถแปลงไปเป็นเนื้อเยื่อได้ทุกชนิด

เช่น เนื้อเยื่อหัวใจ เนื้อเยื่อประสาท และเนื้อเยื่อสมอง โดยหวังว่าสักวันหนึ่งเซลล์นี้จะสามารถเข้าไปแทนที่เซลล์ในร่างกายมนุษย์ที่ถูกทำลายได้

ผู้เปลี่ยนโฉมหน้าเทคโนโลยีสเต็มเซลล์ เปิดเผยว่า

การทดลองได้ทำในหนูหลายๆ ครั้ง และประสบความสำเร็จ จากนั้นจึงทำการทดลองด้วยการนำเนื้อเยื่อจากใบหน้าของหญิงอายุ 36 ปีมา และสามารถสร้างสเต็มเซลล์ได้เช่นกัน วิธีการใหม่นั้นก็ง่าย ไม่เหมือนการสร้าง สเต็มเซลล์จากตัวอ่อนที่ใช้เทคนิคยากกว่า มีราคาแพง นอกจากนี้ เซลล์ยังได้มาง่ายด้วย และเมื่อรู้วิธีแล้วห้องทดลองในสหรัฐก็สามารถสร้างสเต็มเซลล์ด้วยเทคนิคใหม่นี้ได้เลย

นายแพทย์ยามานาคะ เล่าให้ฟังว่า "ผมอยากเป็นหมอมาตั้งแต่เด็กๆ

เพราะตอนเด็กนั้นชอบเล่นกีฬา ทั้งยูโด รักบี้ และเจ็บตัวจากการเล่นกีฬาอยู่บ่อยครั้ง เมื่อเจ็บแล้วก็ไปหาหมอกระดูก ซึ่งเป็นคนที่ใจดีมากและให้ความช่วยเหลือเป็นอย่างดี ทำให้ผมอยากเป็นหมอที่ดีอย่างนี้บ้าง" สำหรับประวัติส่วนตัวนั้น คุณหมอเป็นชาวโอซากา เรียนจบคณะแพทยศาสตร์จากโกเบ ยูนิเวอร์ซิตี้ เรียนจบขั้นด๊อกเตอร์ที่โอซากา ซิตี้ ยูนิเวอร์ซิตี้ จากนั้นจึงมาศึกษาเฉพาะทางอีกที่ยูนิเวอร์ซิตี้ ออฟ แคลิฟอร์เนีย-ซานฟรานซิสโก

ความสำเร็จของนายแพทย์ยามานาคะทำให้เสียงแซ่ซ้องดังไปทั่ว

เช่น บาทหลวงโธมัส เบิร์ก แห่งสถาบันเวสต์มินสเตอร์ กล่าวว่า "เป็นชัยชนะของทุกๆ ฝ่าย และเป็นการแก้ปัญหาเรื่องข้อถกเถียงด้านจริยธรรมของงานวิจัยด้วยวิธีที่สันติและมีความหวัง"

ด้านประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุช ของสหรัฐ

ซึ่งเคยวีโต้ร่างกฎหมายที่จะให้รัฐบาลสนับสนุนการวิจัยสเต็มเซลล์โดยใช้ตัวอ่อน ออกแถลงการณ์ว่า "เชื่อว่าปัญหาทางการแพทย์จะสามารถแก้ไขได้โดยไม่ต้องแลกกับชีวิตมนุษย์"