กรมวิทย์ฯเผย ไทยพบผู้ป่วย 5 ราย ติดโควิดสายพันธุ์ EG.5.1
อัตราการแพร่เชื้อในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา ในภาพรวมทั่วโลก พบว่า EG.5.1 สูงกว่าสายพันธุ์ลูกผสม XBB.1.16 ร้อยละ 45
ขณะที่สถานการณ์ในภูมิภาคเอเชีย ระหว่างวันที่ 4 มิ.ย.- 4 ก.ค.นี้ พบว่า XBB.1.16 เป็นสายพันธุ์ ที่พบมากที่สุด คิดเป็น 13.71% รองลงมาคือสายพันธุ์ XBB.1.9.1 คิดเป็น 8.68% และสายพันธุ์ EG.5.1 คิดเป็น 7.33%
นพ.ศุภกิจ กล่าวว่า สายพันธุ์ EG.5.1 ในภูมิภาคเอเชีย พบรายงานจาก 11 ประเทศ โดยลำดับจากมากไปน้อย ดังนี้ จีน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น สิงคโปร์ ฮ่องกง อิสราเอล ลาว อินโดนีเซีย ไต้หวัน ไทย และอินเดีย
สำหรับประเทศไทยพบสายพันธุ์ EG.5.1 จำนวน 5 คน รายงานครั้งแรกในเดือนเม.ย.นี้ 1 คน เดือนพ.ค.นี้ จำนวน 3 คน และเดือนมิ.ย.นี้ จำนวน 1 คน ทั้งนี้ ยังไม่พบข้อมูลเรื่องการเพิ่มความรุนแรง
พบ XBB.1.16 ระบาดหลักในไทย
นอกจากนี้ ยังมีสายพันธุ์ลูกผสม XBL (XBB.1.5* ผสมกับ BA.2.75*) 1 คน สัดส่วนสายพันธุ์ที่ตรวจในสัปดาห์นี้ 2 อันดับแรก ได้แก่ สายพันธุ์ลูกผสม XBB.1.16* และ XBB.1.9.1* คิดเป็น 56.76% และ 16.22 %
WHO จับตาโอมิครอน 8 สายพันธุ์
ปัจจุบันองค์การอนามัยโลกให้ความสำคัญกับการติดตามโอมิครอน จำนวน 8 สายพันธุ์ จากพื้นฐานของข้อมูล การเพิ่มความชุกหรือความได้เปรียบด้านอัตราการเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับสายพันธุ์อื่นๆ และการกลายพันธุ์ในตำแหน่งที่เกี่ยวข้องกับการได้เปรียบในการก่อโรค ได้แก่ สายพันธุ์ที่เฝ้าระวัง หรือ Variants of Interest (VOI) 2 สายพันธุ์ ได้แก่ XBB.1.5* และ XBB.1.16*
นอกจากนี้ยังมีและสายพันธุ์ที่ต้องจับตามอง หรือ Variants under monitoring (VUM) 6 สายพันธุ์ ได้แก่ BA.2.75*, CH.1.1*, XBB*, XBB.1.9.1*, XBB.1.9.2* และ XBB.2.3*
ทั้งนี้กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ยังคงเฝ้าระวังการเปลี่ยนแปลงสายพันธุ์ของเชื้อก่อโรคโควิด 19 อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในรายที่มีอาการรุนแรง หรือเสียชีวิต