ปลัดพลังงานแจง ไม่ได้ขึ้นค่าไฟ ใช้เยอะยิ่งแพง
หน้าแรกTeeNee ที่นี่ข่าววันนี้, ข่าวหน้าหนึ่ง ข่าวอื่นๆ ปลัดพลังงานแจง ไม่ได้ขึ้นค่าไฟ ใช้เยอะยิ่งแพง
‘กุลิศ' ปลัดพลังงาน แจงสูตรค่าไฟขั้นบันได ใช้เยอะยิ่งแพง ย้ำสำรองไฟฟ้าจำเป็น ปัจจุบัน 36% รวมพลังงานทดแทนไม่ได้เพราะไม่เสถียร ชี้ต้นทุนค่าไฟแพงตั้งแต่'65 จากผลิตก๊าซอ่าวไทยขาดช่วง-สงคราม หวังกกพ.ลดค่าไฟ 4.70 บ.ตามข้อเสนอกฟผ.
นายกุลิศ สมบัติศิริ ปลัดกระทรวงพลังงาน เปิดเผยถึงสถานการณ์ราคาค่าไฟแพงช่วงหน้าร้อนว่า ค่าไฟฟ้าที่ประชาชนพบว่าแพงขึ้นในเดือนเมษายน เนื่องจากเดือนเมษายนเป็นเดือนที่ร้อนที่สุด ทำให้การใช้เครื่องปรับอากาศใช้กำลังไฟมากขึ้นในการที่จะรักษาอุณหภูมิให้ปกติ ยืนยันว่าค่าไฟฟ้าไม่ได้มีการปรับราคาเพิ่มสูงขึ้นเนื่องจากยังคงอยู่ในช่วงคิดอัตราค่าไฟฟ้าเดิมคือ 4.72 บาทต่อหน่วย สำหรับกลุ่มครัวเรือน (1 มกราคม-30 เมษายน 2566) ยังไม่มีการปรับอัตราค่าไฟฟ้า แต่ต้องเข้าใจก่อนว่าปัจจุบันอัตราค่าไฟฟ้าจะมีอัตราเริ่มต้นและปรับอัตราเพิ่มเป็นขั้นบันได
อาทิ ประเภทผู้ใช้ครัวเรือนอัตราที่ยังไม่รวมค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ (เอฟที) และภาษีมูลค่าเพิ่ม การคิดค่าไฟเริ่มต้นตั้งแต่ 1-150 หน่วยอยู่ที่ 3.2484 บาทต่อหน่วย, 151-400 หน่วย อยู่ที่ 4.2218 บาทต่อหน่วย, เกิน 400 หน่วยอยู่ที่ 4.4217 บาทต่อหน่วย
ดังนั้น แม้ประชาชนจะไฟฟ้าเปิดเวลาเท่าเดิมแต่เครื่องใช้ไฟฟ้า โดยเฉพาะเครื่องปรับอากาศทำงานหนัก จะกินไฟฟ้าหลายหน่วยเพิ่มมากขึ้น ทำให้อัตราเพิ่มสูงขึ้นจึงเกิดค่าไฟแพงขึ้น
สำหรับประเด็น อัตราการสำรองไฟฟ้า (Reserve Margin : RM) ที่หลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่าเป็นอีกสาเหตุทำให้ค่าไฟแพงนั้น ปัจจุบันสำรองไฟฟ้าของไทยอยู่ที่ 36% ไม่ได้สูงถึง 50-60% โดยตัวเลขดังกล่าวเป็นการนำค่ากำลังการผลิตไฟฟ้าตามสัญญามาคำนวณ จึงไม่สะท้อนอัตราการสำรองไฟฟ้าแท้จริง อาทิ ไฟฟ้าจากพลังงานทดแทน อาทิ พลังงานลม พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานชีวมวล กลุ่มนี้ไม่สามารถพึ่งพาได้ตลอด 24 ชั่วโมง เนื่องจากปัจจัยช่วงเวลา ฤดูกาล ถูกคำนวณเป็นสำรองไฟฟ้าแต่ไม่ใช่สำรองไฟฟ้าที่แท้จริง
อย่างไรก็ตาม ในด้านความมั่นคงพลังงาน การผลิตไฟฟ้าต้องเพียงพอต่อความต้องการใช้ไฟฟ้าในประเทศอย่างต่อเนื่องและมั่นคง จำเป็นต้องมีกำลังผลิตไฟฟ้าสำรอง เพื่อรองรับเหตุต่างๆ ที่ทำให้ไม่สามารถผลิตไฟฟ้าตามปกติได้ อาทิ แหล่งก๊าซธรรมชาติหยุดจ่ายก๊าซธรรมชาติเพื่อซ่อมแซม หรือโรงไฟฟ้าหยุดผลิตไฟฟ้าเนื่องจากเกิดเหตุขัดข้องหรือปิดซ่อมบำรุง ซึ่งรวมทั้งกรณีการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนผันผวน
"กำลังการผลิตไฟฟ้าสำรองมากเกินไป บ่งบอกว่าอาจมีโรงไฟฟ้ามากเกินกว่าความต้องการใช้ไฟฟ้าในประเทศ ผลกระทบที่ตามมาคืออัตราค่าไฟจะสูงขึ้น เนื่องจากค่าไฟฟ้าคิดรวมต้นทุน ค่าก่อสร้างโรงไฟฟ้าด้วย แต่หากมีกำลังการผลิตไฟฟ้าสำรองน้อย จะส่งผลให้มีความเสี่ยงในการขาดแคลนไฟฟ้าในสถานการณ์ฉุกเฉินต่างๆ ดังนั้น จึงต้องมีการประเมินกำลังการผลิตไฟฟ้าสำรองที่เหมาะสม สอดคล้องกับกำลังการผลิตไฟฟ้าที่ใช้ได้จริง ล่าสุดความต้องการใช้ไฟฟ้า ประเมินความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุด หรือ พีค ดีมานด์ เดือนเมษายนอยู่ที่ประมาณ 33,000 เมกะวัตต์ ใกล้เคียงความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดของปี 2565 ซึ่งพีค ดีมานด์ ต้องมาพร้อมกับสำรองไฟฟ้าที่เพียงพอด้วย" นายกุลิศกล่าวโดยต้นทุนไฟของไทยที่สูงขึ้นมาจากการผลิตไฟฟ้าในประเทศไทยปัจจุบันพึ่งพาเชื้อเพลิงจากก๊าซธรรมชาติ ทั้งอ่าวไทย เมียนมา และก๊าซธรรมชาติเหลว (แอลเอ็นจี) สูงถึง 56% โดยปี 2565 มีการเปลี่ยนผ่านผู้รับสัมปทานสำรวจและผลิตของแท่นขุดเจาะขนาดใหญ่ในอ่าวไทย ทำให้ปริมาณก๊าซธรรมชาติจากแหล่งผลิตก๊าซในประเทศลดลงจากเดิม
นอกจากนี้ ปีที่ผ่านมายังเกิดวิกฤตการณ์ราคาแอลเอ็นจีโลก มีความผันผวนและปรับสูงขึ้นเป็นอย่างมากจากปัญหาสงครามรัสเซีย-ยูเครน ทำให้ราคาแอลเอ็นจีจากปกติ 8-10 เหรียญสหรัฐต่อล้านบีทียู เพิ่มสูงขึ้นถึง 50-80 เหรียญสหรัฐต่อล้านบีทียู เป็นเหตุผลหลักทำให้ค่าไฟเพิ่มสูงขึ้น
นายกุลิศกล่าวด้วยว่า สำหรับค่าไฟฟ้าในงวดที่ 2 (1 พฤษภาคม-31 สิงหาคม 2566) อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) คาดว่าจะลดลงจาก 4.77 บาทต่อหน่วย เหลือ 4.70 บาทต่อหน่วย ตามที่ นายคมกฤช ตันตระวาณิชย์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) ให้สัมภาษณ์แล้ว
โดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เสนอรับชำระค่าไฟฟ้าที่ค้างชำระเพิ่มจาก 5 งวดไฟฟ้า หรือ ประมาณ 20 เดือน เป็น 6 งวดไฟฟ้า หรือประมาณ 24 เดือนหรือสองปี ซึ่งการกำหนดอัตราค่าไฟฟ้าเป็นอำนาจของ กกพ. กระทรวงพลังงานไม่อาจก้าวล่วงในการที่จะบอกว่าอัตราค่าไฟฟ้างวดที่สองนี้จะลดลงมาเหลือ 4.70 บาทหรือไม่ แต่ กฟผ.ได้มีการเสนอไปให้ กกพ.พิจารณาแล้ว