ชูวิทย์ แฉเส้นทางการเงินนอมินี เผาพริกเผาเกลือแช่งคนเอี่ยวกลุ่มนายทุนจีนสีเทา
มีลายเซ็นนางพัชรินทร์ ลงนามเป็นผู้ซื้อ และระบุว่ารับมอบอำนาจจากนายตู้ห่าว มีหลักฐานการโอนเงินระหว่างนายตู้ห่าวกับนางพัชรินทร์ ครั้งละ 3-5 ล้านบาทอีกหลายครั้ง มีสำเนาเช็คที่นางพัชรินทร์ เป็นคนเซ็นจ่ายแทนนายตู้ห่าวเพื่อไม่ให้ผิดกฎหมายอีกจำนวนหนึ่ง หากนายตู้ห่าวทำธุรกิจที่ถูกกฎหมาย ทำไมถึงต้องใช้นอมินีมาถือครองทรัพย์สิน และทำธุรกรรมทางการเงินแทน
ตนมีข้อมูลว่าการออกวีซ่าให้คนจีนเข้ามาอยู่ในไทย นายทุนจีนเหล่านี้ได้ซื้อโรงเรียนสอนภาษาไทยให้คนจีนอยู่ และรับรองการอยู่ในไทยในฐานะนักศึกษา ทำให้ไปต่อวีซ่าได้ตลอด และยังได้เปิดเผยภาพถ่ายของนายหลินหลง อดีตที่ปรึกษาสมาคมพ่อค้าไทย ที่ร่วมถ่ายภาพกับข้าราชการหลายคน และแอบอ้างใส่ชุดคล้ายทหาร ซึ่งก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ใช้อ้างตัวเป็นผู้มีอิทธิพลกับกลุ่มคนจีน และลักลอบตั้งสมาคมอีกหลายแห่งขึ้นมา เพื่อทำให้มีความน่าเชื่อถือ
นายชูวิทย์ กล่าวอีกว่า นอกจากกลุ่มทุนจีนจะเข้ามาทำธุรกิจที่ผิดกฎหมาย และพยายามที่จะอยู่ในไทยอย่างผิดกฎหมายแล้ว ยังพบว่ามีการทำสิ่งที่กระทบต่อความมั่นคงต่อประเทศ โดยที่ตนขอใช้คำว่า อุ้มท้องซื้อพ่อ ซึ่งรายละเอียดของการกระทำความผิดนี้จะขอแถลงในครั้งต่อไป
และนายชูวิทย์ ยังได้ตั้งคำถามไปถึงสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด หรือ ป.ป.ส. ว่าเป็นหน่วยงานที่มีอำนาจในการตรวจยึดอายัดทรัพย์สินคดีที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด แต่ทำไมถึงไม่เข้าไปตรวจค้นในเครื่องบินส่วนตัว มีเพียงการเข้าไปตรวจยึด ซึ่งหากตรวจค้นอาจจะได้ข้อมูลหรือหลักฐานบางอย่างที่สำคัญทางคดีเพิ่มเติม
"หากผมพูดไม่จริง ทำเพื่อหวังผลประโยชน์ ก็ขอให้พินาศ มีอันเป็นไปใน 3 วัน 7 วัน แต่ถ้าหากผมพูดจริงก็ขอให้ สันขวาน มีอันเป็นไปใน 3 วัน 7 วัน แล้วถ้าเป็นอะไรไปจริงๆ ตนก็จะส่งเครื่องสังฆทานไปให้ พร้อมกับโชว์เครื่องสังฆทาน หากินกับกลุ่มจีนสีเทา โดยใช้แต่ปากพูด แต่ไม่ได้มีข้อมูล ซึ่งข้อมูลเรื่องทุนจีนสีเทา ตนได้เริ่มพูดมาตั้งแต่วันที่ 13 ก.ค.2565 ก่อนที่ตำรวจจะเข้าไปบุกทลายผับจินหลิงแล้ว ดังนั้น ไม่ได้มีใครมาให้ข้อมูลกับแน่นอน" นายชูวิทยู กล่าว