อั๋น-คำผกา อัดAPEC เปรียบผักชีโรยหน้า ลั่นโลกไม่โง่เขารู้กันดี!
อั๋นเผยว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องผิด แค่สงสัยว่าก่อนหน้านี้ไม่ทำ แสดงว่ารู้ว่าอะไรต้องทำ แต่ไม่ทำ ส่วนคำผกาเผยว่า ตนมองแบบบ้านๆ เราอยู่บ้านปกติ ก็ไม่ปัดไม่กวาด พอมีแขกมา ก็รีบปัดกวาดเช็ดถูใหญ่เลย ปกติอยู่แบบรก พอมีคนจะมาบ้าน ก็ล้างบ้าน พอเขากลับ เราก็ปล่อยรกไปเหมือนเดิม มันเป็นระบบคิดแบบนี้
เมื่อมองไปข้างหน้า ไทยจะเป็นอย่างไร กับบทเรียนที่ผ่านมา เราจะแสวงหาความร่วมมือที่แตกต่างจาก 5 ปีก่อน ทศวรรษก่อนอย่างไร นี่คือพูดแบบคนไม่มีความรู้ กรอบโครงวิธีคิดกว้างๆ นั้นควรเป็นแบบนี้ ส่วนเรื่องปัดกวาดบ้านให้สวยงามก็เป็นเรื่องปกติ ผักชีโรยหน้าไม่ใช่ประเด็น ดีเสียอีกที่ได้แก้ไข
อย่างไรก็ดีเราไม่ได้เห็นภาพเนื้อหาว่าประเทศไทยมีตำแหน่งแห่งที่อย่างไรในเรื่องนี้ สิ่งนี้ไม่มี แต่ดันใช้พลังงานทั้งหมด ไปกับการปัดกว้างเช็ดถูบ้าน เพราะไม่เคยใส่ใจไม่เคยทำ
มันแสดงให้เห็นว่าคุณไม่ได้เป็นผู้บริหารที่จะสร้างความสุขคนในบ้าน แต่ทำเพื่อกลัวจะเสียหน้า ไม่ได้ทำเพื่อให้คนไทยคนกรุงเทพ แต่ทำเพราะกลัวอาย
"เรากวาดบ้านให้คนได้ใช้ สะอาด หรือกวาดบ้านเพราะกลัวขายหน้าแขกที่จะมาเยี่ยมเรา อันไหนเป็นแก่นสารที่สำคัญกว่ากัน"
สภาวะแบบนี้ตบตาชาวโลกไม่ได้ มันยิ่งอาย เพราะบ้านมันผุพัง แต่เร่งบอกแขกว่า ชีวิตเราไม่แย่ ใน 1 วัน ทั้งที่เราอยู่แย่ๆ มาตลอด ตนอ่านข่าวเอเปกด้วยความรู้สึกแบบนี้
"ประชุมเอเปค ไม่ใช่งานขึ้นบ้านใหม่ มันไม่ช่วยเปลี่ยนความจริง ว่าเรากำลังอยู่อย่างยากลำบาก"
เราอยากฟังรัฐบาลว่าจะพาประเทศไปไหน มีชีวิตเปี่ยมไปด้วยความหวังอย่างไร ทั้งนี้อั๋นเผยว่า ไม่ซีเรียสเรื่องผักชีโรย แต่ก่อนจะโรย ควรทำเรื่องสำคัญก่อน และเรื่องสำคัญกว่าให้ได้
ตนเข้าใจมันคงยากที่ทางม้าลายจะทาสีใหม่ ทั่วประเทศ แต่อย่างน้อยเราควรเคลื่อนตัวอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งการโรยผักชีในเวลาเร่งด่วน มันยิ่งขายหน้าในเวทีระดับประเทศ มันเหมือนตบหน้าประชาชนคนไทยว่าช่วยกันโกหก ว่าบ้านเราสวยมาตลอด
เราเข้าใจว่าโต๊ะกินข้าวเรา ก็ไม่ได้สวย แต่ปกติมันก็ต้องสะอาด ดีมากพอ แต่อย่างน้อยต้องสุขภาพอนามัยดี วันที่แขกมา ก็สวยกว่าเดิมแค่นั้น ไม่ใช่ว่าโกหกแขก ไม่ให้ออกนอกเส้นทาง
เรื่องนี้ชี้ว่าที่ผ่านมา คุณรู้ว่าควรทำ แต่ทำไมไม่ทำ มันไม่ได้ยุ่งหรือยากเกินกว่าที่จะทำ แล้วพวกคุณทำอะไรกันอยู่ หากไม่รู้ตัว ก็น่าห่วง การลุกมาทำ เป็นภาพสะท้อนว่ารู้แต่ไม่ทำ เพราะอะไร
อั๋นเผยว่า มันก็มีแซวๆ ว่า อยากให้ผู้นำเคลื่อนผ่านขบวนแถวพระราม 2 ถนนจะได้เสร็จ หรือขึ้นรถไฟไป มันก็จะสวยขึ้นมาเลย คำผกาเผยว่า ที่ผ่านมาก็เรียกร้องให้ประชาชนเสียสละ คนอยู่แถวที่ประชุมต้องมีใบเข้าออก ทั้งที่อยู่ในบ้านตัวเอง แสดงว่าคุณทำเพื่อตัวเอง ไม่ใช่หน้าตาของประเทศไทยด้วย 8 ปีที่ผ่านมา คุณต้องทำให้ประเทศไทยมีความภูมิใจอวดต่อสายตาชาวโลกได้
แต่อันนี้อยากอวดชาวโลก ว่าจัดประชุมเก่ง ไม่เห็นอะไรรกหูรกตาเลย เพราะฉะนั้นไพร่ทั้งหลาย จงให้ความร่วมมือด้วยกัน อย่าเป็นแมงหวี่แมงวัน ขัดหูขัดตา กว่าจะเชิญผู้นำมาได้ คิดแค่นี้ คิดถึงหน้าตัวเองแค่ปัจเจกกับบุคคล ไม่ใช่คิดถึงหน้าของประเทศไทย
ยิ่งป้ายต้อนรับที่เขียนผิด เขาบอกว่ามันผิดป้ายเดียว ขอร้องว่าประชาชนอย่าแชร์ แทนที่จะบอกว่าผิดพลาดได้ และขอบคุณประชาชนที่ชี้ให้เห็น จะได้แก้ไข
"ทั้งหมดนี้ทำเพื่อพล.อ.ประยุทธ์ จัดเอเปคแล้วประสบความสำเร็จ ทุกอย่างหมุนรอบตัวพล.อ.ประยุทธ์ จบงานนี้ จัดงานได้ดีมาก ฉันเป็นนายกที่เก่งจริงๆ สิ่งนี้จะทำให้พล.อ.ประยุทธ์ไปคุย ว่าฉันเก่งเหลือเกิน"
ถ้ารักชาติจริง อย่าสร้างความผิดพลาดสิ รับมือมันอย่างสง่างามกว่านี้ เข้าใจว่าไม่ได้ตั้งใจที่จะสะกดผิดพอๆ กับไม่ได้ตั้งใจให้สะกดถูก คือแบบไม่ได้ตั้งใจอะไรเลย อย่างที่มันควรจะเป็น
คำผกาเผยว่า มันแสดงให้เห็นความไม่เนี้ยบ เพราะความยิ่งใหญ่อยู่ในรายละเอียด แล้วงานใหญ่ๆ แบบนี้ มันมีคุณค่าความแตกต่างอยู่ในรายละเอียด ถ้าพลาดก็แพ้ แล้วดูความสวยงามของป้าย อั๋นบอกว่าไม่อยากติติงเรื่องรสนิยม ส่วนตัวมองแล้วไม่สวยเลย เหมือนทำสำเร็จรูป แล้วเลือกฟอนต์ยังไม่ดีเลย
"ภาษาวัยรุ่นเรียกว่างานหยาบ ไม่ต้องทำดีกว่า ไม่จำเป็นต้องมี เอางบไปทำอย่างอื่น ใส่ใจรายละเอียด ในเรื่องการประชุมจะดีกว่า"
เราควรมุ่งความสนใจในเรื่องการประชุมจะดีกว่า ก็ฝากด้วยความรักและความปรารถนาดี ส่วนตัวก็เอาใจช่วยว่าผู้นำที่ตกลงว่าจะมา ยังจะมาเหมือนเดิม เช่น สี จิ้นผิง ปธน.จีน เพราะฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชาเพิ่งติดโควิด และกอดกับพล.อ.ประยุทธ์มา ซึ่งจีนมีการคุมโควิดที่เข้มงวดมาก ดังนั้นปธน.จีนจะต้องไปกักตัวไหม ถ้าเขามาแล้วเจอแบบนี้ แล้วประเทศยังคุมโควิดเป็นศูนย์ จะเปลี่ยนใจไหม
หากจีนไม่มาอีก แล้วจะมีอะไร คำผกาบอกว่า ก็เป็นการประชุมเลี้ยงอาหารค่ำ ที่แวะมาเยี่ยมเรา มาชมอาหารไทยร่วมสมัยที่ผ่านการคิดและการออกแบบมาเป็นอย่างดี
"อย่ามองว่าเราชังชาติ ก่อนจะว่าใคร ดูก่อนว่าจริงหรือไม่จริง ถ้าใส่ความแล้วไม่จริง ก็ว่าเราได้ แต่ถ้าเราพูดบนพื้นฐานข้อเท็จจริง ถ้าแยกไม่ออก ก็หลงผิดเป็นถูก หลงถูกเป็นผิด"