ไขข้อข้องใจ ทำไม? ค่าไฟเดือน มี.ค.-เม.ย. แพงผิดปกติ
1. Work from Home ทำไม? "ค่าไฟแพงผิดปกติ"
สาเหตุที่ค่าไฟแพงนั้น รองผู้ว่าการการไฟฟ้าฯ อธิบายว่าเนื่องจากเวลาที่ประชาชนอยู่บ้าน Work from Home ก็จะมีการเปิดอุปกรณ์ไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้ค่าไฟแพง
โดยเฉพาะในช่วงฤดูร้อนช่วงเดือนมีนาคม-เมษายนแบบนี้ หลายบ้านก็จะใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าตัวที่กินไฟมากๆ อยู่หนึ่งอย่างนั่นคือ เครื่องปรับอากาศ ซึ่งถือเป็นอุปกรณ์ไฟฟ้าที่กินไฟมากที่สุด รองลงมาคือ ตู้เย็น และทีวี ที่มีการใช้บ่อย ใช้งานเป็นเวลานานๆ ต่อเนื่อง
2. บางบ้านใช้แอร์ไม่เยอะ แต่ทำไมค่าไฟพุ่งสูงเป็นเท่าตัว?
ในช่วงนี้หากเปรียบเทียบ "ค่าไฟ" ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ 2564 กับเดือนมีนาคม 2564 อาจจะเห็นความแตกต่างเยอะ เนื่องจากเดือนกุมภาพันธ์ประชาชนยังได้ส่วนลดค่าไฟฟ้าจากมาตรการช่วยเหลือเยียวยาจากรัฐบาล แต่เดือนมีนาคมยังไม่มีมาตรการส่วนลดค่าไฟจากรัฐบาลเข้ามา จึงทำให้บิลค่าไฟแพงขึ้น
อีกทั้ง การคำนวณคิดค่าไฟฟ้าจากการไฟฟ้านครหลวง ยิ่งใช้ไฟเยอะๆ อัตราค่าไฟก็จะยิ่งแพง เนื่องจากว่าโครงสร้างอัตราค่าไฟของประเทศไทย สำหรับบ้านเรือนทั่วไปกำหนดให้ใช้โครงสร้างอัตราค่าไฟแบบ Prograssive Rate หรือ อัตราก้าวหน้า คือ ค่าไฟฟ้าขึ้นกับหน่วยการใช้ไฟฟ้า ยิ่งใช้ไฟฟ้ามากก็ยิ่งเสียเงิน ค่าไฟฟ้ามาก
สาเหตุที่เมืองไทยใช้อัตรานี้เพราะต้องการสนับสนุนให้มีการใช้ไฟกันอย่างประหยัด เพราะฉะนั้น การใช้ไฟฟ้าหน่วยปลายๆ ก็จะมีราคาต่อหน่วยที่แพงขึ้น
การไฟฟ้านครหลวง สังกัดกระทรวงมหาดไทย ยินดีที่จะปฏิบัติตามนโยบายภาครัฐ และดำเนินการบำบัดทุกข์บำรุงสุขของประชาชนคนไทยอยู่แล้ว แต่ทั้งนี้การกำหนดส่วนลดค่าไฟฟ้าต่างๆ ต้องรอคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ให้มีการหารือกันและต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งตอนนี้ยังไม่ได้มีการพูดคุยกันเรื่องนี้
สำหรับการระบาดของโควิดในระลอกที่ 3 นี้ ก็คงต้องให้ทางรัฐบาลพิจารณาดู ซึ่งทางการไฟฟ้านครหลวงยินดีที่จะปฏิบัติตามมาตรการต่างๆ ที่ทาง ครม. เคาะออกมา ซึ่งขณะนี้มองว่ามีโอกาสที่จะเป็นไปได้ในการประกาศมาตรการ "ลดค่าไฟ" ดังกล่าว เพื่อช่วยเหลือลดภาระให้ประชาชน
4. วิธีใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าให้ประหยัด "ค่าไฟ"
4.1) เครื่องปรับอากาศ ต้องตั้งอุณหภูมิ 26 องศาฯ : เรื่องการตั้งอุณหภูมิแอร์เป็นเรื่องสำคัญ การไฟฟ้านครหลวงแนะนำให้ตั้งอุณหภูมิไว้ที่ 26 องศาฯ เพราะว่าอุณหภูมิ 26 องศาฯ เป็นอุณหภูมิเหมาะสมกับร่างกาย
ถ้าเปิดที่ 26 องศาฯ แล้วรู้สึกว่ายังไม่ค่อยเย็น แนะนำให้เปิดพัดลมช่วย เพราะพัดลมจะทำให้เกิดความเร็วลมหมุนเวียนภายในห้อง ทำให้รู้สึกเย็นสบายขึ้น และพัดลมก็ไม่กินไฟ ดังนั้นจึงทำให้ค่าไฟถูกลงเยอะ
4.2) ล้างเครื่องปรับอากาศปีละ 2 ครั้ง : ต้องหมั่นล้างเครื่องปรับอากาศอย่างน้อย 2 ครั้งต่อปี เพราะการล้างทำความสะอาดภายในเครื่องปรับอากาศ จะทำให้ตัวเครื่องทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ ไม่ทำงานหนักเกินไป จึงเป็นการช่วยประหยัดไฟได้ โดยช่วยลดค่าไฟลงได้ 5%-7%
4.3) อย่างเปิดตู้เย็นบ่อยๆ ตรวจสอบขอบยางประตูตู้เย็น : หากเปิดปิดตู้เย็นทั้งวัน หรือเปิดประตูตู้เย็นค้างไว้นานๆ ความเย็นก็ไหลออกมาหมด ทำให้เครื่องทำงานหนักและกินไฟมากขึ้น ดังนั้นไม่ควรเปิดตู้เย็นค้างนาน ไม่ควรเปิดปิดบ่อยๆ ไม่ควรกักตุนอาหารไว้ในตู้เย็นจนเกินปริมาณที่ระบุ และควรตรวจสอบขอบยางประตูตู้เย็นอยู่เสมอ ตรงนี้สำคัญมาก เพราะหากขอบยางปิดไม่สนิทก็จะทำให้ตู้เย็นกินไฟมากเช่นกัน
4.4) อย่าเปิดทีวีพร้อมกันหลายเครื่อง : หลายบ้านมีทีวีหลายเครื่อง แล้วเปิดทีวีพร้อมกันแบบแยกกันดู ก็ทำให้เปลืองไฟ วิธีประหยัดไฟคือ อาจเปิดทีวีเพียงเครื่องเดียวแล้วนั่งดูด้วยกัน ก็จะช่วยประหยัดไฟได้ หรือสลับการใช้งานผลัดเปลี่ยนกันไปจะดีกว่า