เอกชน เสนอรัฐบาล เพิ่มเงิน คนละครึ่งเฟส3 - ขยายจำนวนผู้รับ
ทั้งนี้ สถานการณ์การระบาดของโควิดระลอกใหม่ ส่งผลให้ภาครัฐออกคำสั่งปิดสถานที่บางแห่งและกำหนดพื้นที่ควบคุมสูงสุดในจังหวัดที่มีการระบาดสูง รวมทั้งงดจัดกิจกรรมปีใหม่ และขอความร่วมมือประชาชนชะลอการเดินทางข้ามจังหวัด รวมถึงขอให้ผู้ประกอบการภาคเอกชนและข้าราชการทำงานที่บ้าน เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโรค
"จากมาตรการต่างๆ ที่เข้มงวดของภาครัฐ ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศชะลอลง ทั้งการจับจ่ายใช้สอยของประชาชนและการเดินทางท่องเที่ยวลดลง ส่งผลกระทบต่อยอดขายสินค้าของผู้ประกอบการลดลงโดยเฉพาะผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม(เอสเอ็มอี) อีกทั้งการขนส่งสินค้าข้ามจังหวัดยังมีความล่าช้า"
นายสุพันธุ์ กล่าวว่าสำหรับดัชนีคาดการณ์ในอีก 3 เดือนข้างหน้า ปรับตัวลดลงอยู่ที่ 92.7 จากเดิม 94.1 เนื่องจากผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมกังวลต่อความไม่แน่นอนของสถานการณ์โควิด-19 เศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลกยังฟื้นตัวช้า ทำให้ผู้ประกอบการปรับแผนการดำเนินกิจการเพื่อรับมือสถานการณ์ระบาดของโควิด-19 รอบใหม่มากขึ้น
ดังนั้น ส.อ.ท.มีข้อเสนอแนะต่อภาครัฐ ขอให้ภาครัฐเร่งควบคุมการแพร่ระบาดอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งการบังคับใช้มาตรการต่างๆ อย่างเข้มงวด เร่งสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคและประเทศคู่ค้า เกี่ยวกับความปลอดภัยในสินค้าอาหารของไทย
สำหรับข้อเสนอมาตรการเสริมสภาพคล่องเอสเอ็มอีนั้น ส.อ.ท.มีข้อเสนอเพิ่มเติม 4 ข้อ จากที่คณะกรรมาธิการ เสนอแก้ไขพระราชกำหนด(พ.ร.ก.) สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ(ซอฟต์โลน) 5 แสนล้านบาท โดย
1.ขอไม่จำกัดวงเงินกู้ในการขอสินเชื่อ แต่ให้พิจารณาจากความสามารถในการชำระหนี้ของผู้ประกอบการเป็นรายๆ ไป จากที่คณะกรรมาธิการเสนอกรณีขอสินเชื่อเพิ่มเติมจากยอดหนี้เดิมได้ไม่เกิน 30% ของยอดสินเชื่อ และกรณีลูกค้าไม่มีวงเงินสินเชื่อกับสถาบันการเงินกู้ได้ไม่เกิน 20 ล้านบาท
2.ขอให้คิดอัตราดอกเบี้ยไม่เกิน 5% ต่อปีในระยะ 5 ปีแรก ไม่ควรกำหนดที่ 5% ต่อปีเท่านั้น
3.ขอให้ธนาคารพาณิชย์ลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ขั้นต่ำลง 1%
4.ขอให้ปรับการจัดลำดับการตัดชำระหนี้ของผู้ประกอบการ โดยให้ตัดจากเงินต้นก่อน เพื่อเป็นการปรับลดจำนวนหนี้ให้แก่ผู้ประกอบการ
ในส่วนของมาตรการช่วยเหลือประชาชน เสนอให้เพิ่มวงเงินใช้จ่ายโครงการคนละครึ่งเป็น 5,000 บาท ขยายระยะเวลาโครงการ และสนับสนุนให้มีโครงการคนละครึ่งเฟส 3 พร้อมขยายจำนวนสิทธิผู้ได้รับ สนับสนุนให้มีโครงการช้อปดีมีคืนในปี 2564 เพื่อกระตุ้นการบริโภคของประชาชนในกลุ่มที่ต้องเสียภาษี โดยคืนภาษีจากเดิมสูงสุด 30,000 บาท เป็น 50,000 บาท เพื่อนำไปลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของปี 2564 ได้