สื่อฮ่องกงตีข่าว‘ไอ้ไข่’ที่พึ่งคนไทยยามยากจาก‘การเมือง-เศรษฐกิจ’ยุคโควิด

เว็บไซต์ นสพ.South China Moring Post ของฮ่องกง เสนอรายงานพิเศษ In Thailand, ‘Egg Boy' believers ask temple-dwelling spirit to grant their wishes ว่า

สารพัดปัญหา ไม่ว่าจะเป็นวิกฤติเศรษฐกิจอันสืบเนื่องจากสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่รัฐบาลต้องใช้มาตรการล็อกดาวน์ซึ่งส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการและคนทำงานอย่างมากโดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยว รวมถึงสถานการณ์ทางการเมืองที่เปลวไฟแห่งความขัดแย้งเริ่มคุกรุ่นจากเหตุการณ์ชุมนุมประท้วง ทำให้คนไทยรู้สึกไม่มั่นคงในชีวิต

นั่นทำให้ "ไอ้ไข่ (Ai Khai หรือ Egg Boy)" วิญญาณที่มีประวัติเก่าแก่ซึ่งอาศัยอยู่ ณ วัดเจดีย์ (Wat Chedi) ซึ่งตั้งอยู่ที่ จ.นครศรีธรรมราช ทางภาคใต้ของไทย ห่างจากกรุงเทพฯ เมืองหลวงไป 780 กิโลเมตร กลายเป็นที่พึ่งในยามยาก ทำให้แม้ในภาพรวมบรรยากาศการท่องเที่ยวของไทยจะยังเงียบเหงาเพราะรัฐบาลยังคงมาตรการจำกัดการเดินทางเข้าประเทศของชาวต่างชาติ แต่สำหรับ จ.นครศรีธรรมราช นั้นตรงกันข้าม คลื่นมหาชนจากทั่วสารทิศ เดินทางไปที่นั่นเพื่อขอร้องให้ไอ้ไข่ช่วยพวกเขาปัดเป่าความทุกข์หรือดลบันดาลให้สมปรารถนา

พิชญ์สินี ทัศน์นิยม (Pitsinee Tatniyom) ผู้อำนวยการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานนครศรีธรรมราช เปิดเผยว่า ภายในสิ้นเดือน ก.ย. 2563 จ.นครศรีธรรมราช น่าจะมีรายได้จากการท่องเที่ยวถึง 25.2 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 800 ล้านบาท พร้อมกับจำนวนนักท่องเที่ยวถึง 8 แสนคน เพราะแค่เดือน ก.ย. 2563 เพียงเดือนเดียว ก็มีคนมาเยือน จ.นครศรีธรรมราช ถึง 4 แสนคนแล้ว ขณะที่เที่ยวบิน ณ สนามบินนครศรีธรรมราช จากเดิมมีเพียงสิบกว่าเที่ยวต่อวัน ปัจจุบันก็เพิ่มเป็น 50 เที่ยวแล้ว

ขณะที่วัดเจดีย์นั้นจากที่มีผู้ไปเยือนถึง 1 หมื่นคนต่อวันในวันธรรมดา และ 25,000 คน ในวันหยุดสุดสัปดาห์ ทำรายได้ให้วัดเป็นอย่างมากจากการจำหน่ายเครื่องรางของขลัง ผู้คนนับร้อยพร้อมต่อคิวยาวข้ามคืนเพราะกลัวของจะหมด นอกจากนี้ยังมีผู้ที่สมปรารถนาตามที่เคยร้องขอให้ไอ้ไข่ช่วย เดินทางกลับมาแก้บนด้วยการจุดประทัด รวมถึงบริจาคเงินมากขึ้นอีก

รายงานข่าวกล่าวต่อไปว่า ความศรัทธาในไอ้ไข่ ยังขยายไปถึงผู้ที่ไม่ได้ไปบนบานที่วัดโดยตรง เบญจภพ เบญจธรรมธร (Benjapop Benjathammatorn) เจ้าของโรงแรมหรูริมชายหาด Sichon Cabana Beach Reach เล่าว่า มีลูกค้าคนหนึ่งทำสร้อยคอหายที่ชายหาด จึงอธิษฐานให้ไอ้ไข่ช่วยแล้วก็พบสร้อยในเวลาต่อมาจริงๆ ซึ่งปรากฏการณ์เหล่านี้ส่งผลต่อเศรษฐกิจภาคการท่องเที่ยวในท้องถิ่น ทั้งจากคนที่เคยมาเที่ยวแล้วกลับมาเยือนอีก ไปจนถึงนักท่องเที่ยวหน้าใหม่ที่ได้รับคำแนะนำมาจากญาติสนิทมิตรสหาย

Leng Khanom ผู้ทำงานที่ร้านขายวัตถุมงคลใน จ.นครศรีธรรมราช ระบุว่า

 เครื่องประดับชิ้นเล็กๆ มีราคาสูงสุดถึง 3,155 เหรียญสหรัฐ หรือราว 1 แสนบาท ขึ้นอยู่กับความเก่าแก่ โดยของเก่าที่สุดเท่าที่เคยพบคือจัดทำขึ้นในปี 2526 ส่วนวัดเจดีย์นั้นตามตำนานท้องถิ่นเล่าว่ามีอายุหลายร้อยปี แต่ได้กลายเป็นวัดร้างไประยะหนึ่งก่อนจะมีการบูรณะขึ้นใหม่เมื่อประมาณ 60 ปีก่อน อนึ่ง ความศรัทธาในไอ้ไข่ทำให้วัดอื่นๆ ทั่วประเทศไทยเริ่มทำวัตถุมงคลนี้ขึ้นบ้าง แต่ก็ต้องขออนุญาตกับทางวัดเจดีย์ก่อนเนื่องด้วยข้อกฎหมายลิขสิทธิ์

รายงานข่าวยังกล่าวอีกว่า กระแสความศรัทธาในไอ้ไข่กลายทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์กรณีสังคมไทยที่ผู้คนชอบฝากความหวังไว้กับสิ่งลี้ลับเหนือธรรมชาติ อาทิ 

พระมหาไพรวัลย์ วรวณฺโณ (Phra Maha Paiwan Warawanno) พระสงฆ์ที่มีชื่อเสียงด้านการตั้งคำถามให้สังคมไทยฉุกคิด กล่าวว่า

 ก่อนหน้านี้สังคมไทยก็ศรัทธาในสิ่งอื่นๆ เช่น พระเครื่อง จตุคามรามเทพ หรือตุ๊กตาลูกเทพ ซึ่งก็เป็นธรรมดาของมนุษย์ที่ต้องการความหวังและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เข้าถึงได้ แต่ระยะยาววัดควรให้สติปัญญาเพื่อให้ผู้คนคิดได้อย่างเป็นเหตุเป็นผล

อีกด้านหนึ่ง ผศ.พิพัฒน์ กระแจะจันทร์ (Pipad Krajaejun) อาจารย์สาขาวิชาประวัติศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ให้ความเห็นว่า 

ปรากฏการณ์ไอ้ไข่คือภาพสะท้อนความเหลื่อมล้ำในสังคมไทย ที่ความมั่งคั่งกระจุกตัวอยู่แต่ในกลุ่มชนชั้นนำซึ่งลดทอนโอกาสของคนทั่วไป ประกอบกับสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ระบาดทำให้เศรษฐกิจพังพินาศและผู้คนหมดหวัง ดังนั้นประเทศไทยต้องปรับโครงสร้างทางการเมืองและเศรษฐกิจเพื่อให้คนส่วนใหญ่มีโอกาสมีชีวิตที่ดีขึ้น เพื่อที่สุดท้ายแล้วพวกเขาจะได้ไม่ต้องฝากชีวิตไว้กับการบนบานศาลกล่าว

เครดิตแหล่งข้อมูล : scmp.com