ลูกสาวเจ้าของเดิมโผล่ป้องชื่อเสียง ศรีพันวา เป็นของตระกูล...
น.ส.ขวัญใจ เผยอีกว่า มีโฉนดถูกต้องตามกฏหมายแน่นอน เพราะจำได้ว่าขณะนั้นเรียนอยู่ชั้นป.4 อายุประมาณ 10 ขวบ (ประมาณปี 2527) ได้เป็นคนอ่านข้อมูลทั้งหมดให้กับพ่อตอนทำหนังสือสัญญาซื้อขาย เพราะพ่อตนอ่านหนังสือไม่ออก แต่ขายให้กับศรีพันวาโดยตรงหรือไม่นั้นไม่แน่ใจ ต่อมาเมื่อเรียนถึงชั้น ป.6 (ประมาณปี 2529) อาคารหลังแรกของโรงแรมก็เริ่มสร้าง โดยที่ดินตรงนี้ตนจดจำได้ดี เพราะเคยเป็นพื้นที่ปลูกข้าวโพด ตะไคร้กับแม่ตอนเด็กๆ โดยจุดดังกล่าวมีทางเข้า 2 ด้าน คือด้านทางขึ้นไปโรงแรมเคปพันวา ซึ่งเป็นเส้นทางเก่า และอีกเส้นทางหน้าพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ ซึ่งโรงแรมศรีพันวา มาซื้อเพิ่มจาก อดีต ผู้ใหญ่บ้าน (ปัจจุบันเป็นกำนัน) ซึ่งเป็นเครือญาติของตน
น.ส.ขวัญใจ กล่าวว่า จากที่ทราบโรงแรมศรีพันวา มีพื้นที่ครอบครองรวม 52 ไร่ ซึ่งอดีตหากไล่เรียงพื้นที่ครอบครองจากทางเข้าไปถึงปลายแหลม เคยเป็นของ นายเสน พ่อ นายสัน อา ถัดไปเป็นของนายสนิท คุ้มบ้าน และคนอื่นอีกหลายราย ซึ่งอดีตพ่อแม่เล่าว่าที่ดินต้นตระกูลครอบครองที่ดินบริเวณดังกล่าวเกือบทั้งอ่าว ก่อนแบ่งพื้นที่ยกให้สร้างหน่วยงานราชการหลายแห่งทั้ง ทัพเรือภาคที่ 3 และศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งทะเลอันดามันตอนบน (ศวอบ.)พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำฯ ซึ่งเป็นความภาคภูมิใจของตระกูลคุ้มบ้าน เพราะได้สร้างประโยชน์ให้กับประเทศ
น.ส.ขวัญใจ กล่าวอีกว่า พื้นที่โดยรวมของแหลมในอดีต ไม่ได้เป็นป่า มีการใช้ประโยชน์ ปลูกพืช เช่น ข้าวโพด ตะไคร้ สะตอ ผักต่างๆ บริเวณส่วนปลายแหลมที่เป็นจุดที่วิวสวยที่สุด มีบ้านเรือนของ โต๊ะอูเส็น กับโต๊ะอูหมาด ตั้งอยู่ ซึ่งลูกหลานทั้งสองก็ยังอาศัยอยู่ใกล้ๆโรงแรมในปัจจุบัน สามารถสอบถามความจริงได้ทั้งหมด อย่างไรก็ตามจากที่โซเชียลตั้งคำถามนั้น ทำไมไม่คิดถึงหลักความเป็นจริงว่าถ้าเป็นการบุกรุกพื้นที่ป่าหรือพื้นที่ของรัฐ หน่วยงานราชการที่ตั้งอยู่คงฟ้องร้องดำเนินคดีไปแล้ว ซึ่งตนยืนยันว่ามีเอกสารสิทธิ์ถูกต้องมาตั้งแต่ช่วงที่ครอบครัวตนครอบครอง