สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 3 พ.ย.2562 ตำรวจฝ่ายสืบสวน ตำรวจภูธรภาค 5 บก.สส.ภ.5 รับแจ้งจากตำรวจประจำด่านตรวจยาเสพติดสบปรบ อ.สบปราบ จ.ลำปาง ว่าพบรถโตโยต้า อัลติส สีขาว ทะเบียน 1 กน 3184 กรุงเทพมหานคร ผ่านด่านเรียกตรวจตรวจค้นพบจำเลยที่ 1 เป็นคนขับ มีจำเลยที่ 2 นั่งโดยสารมาด้วย มีพิรุธโดยระหว่างตรวจค้น ได้มีรถโตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ สีขาว ทะเบียน 2 กฉ 3904 กรุงเทพมหานคร และรถเก๋งเอ็มจี ทะเบียน 6 กอ 3489 กรุงเทพมหานคร ขับตามมา เมื่อเห็นด่านได้ขับหลบหนีไป จึงแจ้งวิทยุสกัดจับแต่ไม่พบ
สอบสวนจำเลยทั้งสองให้การว่าทำงานในโรงเหล็กที่ จ.สมุทรปราการ รับงานมาแล้ว 3 ครั้ง ขนรอบละราวๆ 500 ก.ก.ไปส่งภาคใต้ และส่งต่อประเทศที่ 3 ทำหน้าที่ขับรถนำตรวจสอบด่านตรวจ ให้รถทั้ง 2 คันลักลอบยาเสพติดจาก จ.เชียงใหม่ ไปส่งที่ กรุงเทพฯ จึงเร่งประสานพื้นที่ตรวจสอบกล้องวงจรปิดตามเส้นทางพบรถทั้งสองคัน ย้อนกลับเข้าจ.เชียงใหม่ และเข้าพักโรงแรมแห่งหนึ่งใน อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ จึงนำกำลังเข้าตรวจสอบจับกุม จำเลยที่ 3 - 6 ได้พร้อมของกลางรถยนต์ทั้ง 2 คัน และ ยาไอซ์ นำหนัก 495,382.680 กรัม คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ 480,669.814 กรัม โดยในชั้นพิจารณาจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 จำเลยที่ 6 ถึงที่ 8 ให้การรับสารภาพ ส่วนจำเลยที่ 5 ให้การปฏิเสธ
กระทั่งวันนี้ศาลจังหวัดเชียงใหม่พิพากษาจำเลยทั้งแปด มีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคสาม(2) วรรคสาม พระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 มาตรา 8 วรรคสอง ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 การกระทำของจำเลยทั้งแปดเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 แต่ละบทมีระวางโทษเท่ากันให้ลงโทษฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่ายให้ประหารชีวิตจำเลยทั้งแปด แม้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 และจำเลยที่ 6 ถึง จำเลยที่ 8 ให้การรับสารภาพแต่พิเคราะห์การกระทำความผิดคดีนี้ ลักษณะการกระทำความผิดเป็นกระบวนการค้ายาเสพติดรายใหญ่ โดยเมทแอมเฟตามีนของกลางมีจำนวนมากถึง 495,382.680 กรัม คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ 480,669.814 กรัม หากมีการจำหน่ายไปจะส่งผลกระทบและสร้างปัญหาแก่สังคมและประเทศชาติอย่างมาก พฤติการณ์เป็นเรื่องร้ายแรงจึงไม่ลดโทษให้ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงให้ประหารชีวิตจำเลยทั้งแปดสถานเดียว และริบเมทแอมเฟตามีน รถยนต์และโทรศัพท์เคลื่อนที่ของกลาง