เร็วทันใจ! จับครบยกแก๊ง ลิขสิทธิ์ตีกิน บ.ยันไม่เคยได้รับเงินสักบาท

เมื่อวันที่ 26 พ.ย. ภายหลังศาลจังหวัดนครราชสีมาอนุมัติหมายจับกลุ่มตัวแทนบริษัทลิขสิทธิ์ที่ล่อซื้อจับกุมเด็กหญิงอายุ 15 ปี ทำกระทงลายการ์ตูน อ้างว่าละเมิดลิขสิทธิ์ก่อนเรียกเงินค่าปรับ 5 หมื่นบาท และมีการต่อรองกันเหลือ 5 พันบาท ประกอบด้วย นายประจักษ์ โพธิผล, นายภูมิภากร ถินสุวรรณ์หรือ นัน กิ่งเพชร, น.ส.วนิสา ถินสุวรรณ์ ใน 4 ข้อหา กรรโชกทรัพย์, ร่วมกันปลอมแปลงเอกสาร,ใช้เอกสารปลอม และแจ้งความเท็จ เมื่อช่วงสายที่ผ่านมา ก่อนที่ตำรวจชุดสืบสวนภูธรภาค 3 จะนำหมายจับเข้าจับกุมตัว นายประจักษ์ โพธิผล หัวหน้ากลุ่ม ได้ที่บริเวณห้างโลตัส ถนนมะลิวัลย์ อ.หนองเรือ จ.ขอนแก่น จากนั้นได้นำตัวขึ้นเฮลิคอปเตอร์มาที่สภ.เมืองนครราชสีมา เพื่อทำการสอบสวน ตามที่ได้เสนอข่าวไปแล้วนั้น

ต่อมาช่วงบ่ายวันนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนภูธรภาค 3 ได้เข้าจับกุมตัว นายภูมิภากร ถินสุวรรณ์ หรือ นัน กิ่งเพชร และน.ส.วนิสา ถินสุวรรณ์ ลูกสาว ที่บ้านญาติใน อ.เฉลิมพระเกียรติ จ.นครราชสีมา ก่อนนำตัวมาสอบสวนที่สภ.เมืองนครราชสีมา พร้อมกับนายประจักษ์ โพธิผล หัวหน้ากลุ่มที่จับได้ก่อนหน้านี้ สอบสวนเบื้องต้นทั้ง 3 คน ให้การภาคเสธ ยอมรับมีการล่อซื้อกระทงละเมิดลิขสิทธิ์ โดยให้ น.ส.วนิสา ติดต่อล่อซื้อทางเฟซบุ๊ก ขณะที่นายประจักษ์ นำใบมอบอำนาจแจ้งความตำรวจ และนายภูมิภากร เป็นคนจับกุม และนำเยาวชน 15 ปี มาเจรจาเรียกค่าเสียหายที่ สภ.เมือง นครราชสีมา จากนั้นตำรวจควบคุมตัวผู้ต้องหาทั้ง 3 คน ไปชี้จุดประกอบเหตุทุกขั้นตอนก่อนส่งตัวดำเนินคดี และคัดค้านการประกันตัวในชั้นพนักงานสอบสวน ทำให้ทั้ง 3 คน ต้องถูกคุมขังในห้องขัง สภ.เมืองนครราชสีมา

พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา รอง ผบ.ตร. เปิดเผยว่า คดีนี้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี สั่งการให้เร่งรัดคดีแก๊งลิขสิทธิ์ให้เห็นผลโดยเร็ว จึงเร่งประสานงานกับทีมพนักงานสอบสวนสภ.เมืองนครราชสีมา ตรวจสอบพบหลักฐานใหม่ที่แก๊งตัวแทนลิขสิทธิ์ เรียกว่า “แก๊งบราโว่” มีการปลอมแปลงลายเซ็นในใบมอบอำนาจจากบริษัทเจ้าของลิขสิทธิ์ใหญ่ นำไปใช้ในการแจ้งความตำรวจจนนำไปสู่การจับกุมเยาวชน 15 ปี ที่ทำกระทงละเมิดลิขสิทธิ์ ขณะเดียวกันตำรวจได้สอบปากคำผู้บริหารบริษัท เวอร์ลิเชค จำนวน 11 คน ยืนยันปฏิเสธว่า ไม่ใช่ลายเซ็นของตน แต่ถูกนายประจักษ์ เซ็นลายเซ็นปลอมโดยไม่ได้รับอนุญาต รวมถึงการปลอมลายเซ็นในใบมอบอำนาจจับกุมคดีอื่นๆ อีกรวมกว่า 50 คดี จึงนำหลักฐานนี้ไปขออำนาจศาลจังหวัดนครราชสีมาอนุมัติหมายจับในที่สุด

พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา รอง ผบ.ตร. เผยอีกว่า แม้ผู้ต้องหาให้การภาคเสธ แต่ตำรวจมีหลักฐานหนาแน่นเพียงพอที่จะดำเนินคดีในฐานความผิด 4 ข้อหาได้ ซึ่งตรวจสอบชัดเจนแล้วพบว่า นายประจักษ์ มีพฤติกรรมล่อซื้อจับกุมสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ในปี 2562 เฉพาะพื้นที่จ.นครราชสีมา จำนวน 90 คดี ในจำนวนนี้ใช้เอกสารปลอม 55 คดี ของจริงแค่ 35 ราย ส่วนภาพรวมทั้งประเทศ 329 คดี ต้องตรวจสอบขยายผลต่อเนื่อง หลังจากนี้จะได้ประสานผู้บริหารบริษัทลิขสิทธิ์รายใหญ่ เข้าแจ้งความตำรวจ สภ.เมือง ในฐานะผู้เสียหายต่อไป เนื่องจากมีหลายคดีนายประจักษ์ไม่ได้ส่งเงินค่าเสียหายให้บริษัทเลย.

สำหรับอัตราโทษทั้ง 4 ข้อหา มีดังนี้

1.ร่วมกันปลอมแปลงเอกสารผิดกฎหมายอาญามาตรา 264 มีโทษจำคุก 3 ปี ปรับ 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

2.ร่วมกันใช้เอกสารปลอมผิดมาตรา 268 มีโทษจำคุก 3 ปี ปรับ 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

3.แจ้งความเท็จผิดมาตรา 172 มีโทษจำคุก 2 ปี ปรับ 40,000บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

4.ร่วมกันกรรโชกทรัพย์ผิดมาตรา 337 มีโทษจำคุก 5 ปี ปรับ 100,000บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ