แฉทุนจีนเทคโอเวอร์ มหาวิทยาลัยเอกชนไทย พบแล้ว 3 แห่ง สั่งเฝ้าระวังด่วน
จากการตรวจสอบเบื้องต้น พบว่ามีทุนจีน เข้ามาถือหุ้นสถาบันอุดมศึกษาของไทย ประมาณ 2-3 แห่งเท่านั้น ซึ่งไม่ถือเป็นเรื่องผิดกฎหมาย เนื่องจากนิติบุคคลที่ขอรับใบอนุญาตจัดตั้งสถาบันการศึกษาเป็นบริษัทของไทย แต่จีนเข้ามาถือหุ้น ขณะเรื่องกรรมสิทธิ์การถ่อครองที่ดิน ยังคงเป็นกรรมสิทธิ์ของมหาวิทยาลัย
รมว.อว.กล่าวต่อว่า อว.ไม่ได้นิ่งนอนใจได้มีการวางแผนรับมือกับเรื่องดังกล่าว โดยได้ร่วมกันตั้งคณะทำงานเฝ้าระวังฯ ซึ่งมีกระทรวงที่เกี่ยวข้อง อาทิ อว. กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการต่างประเทศ กรมที่ดิน สภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.) สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง(ตม.) ฯลฯ เป็นคณะทำงาน
ทั้งนี้ เบื้องต้นตนได้สั่งการให้เน้นเรื่องของการกำกับดูแลเรื่องคุณภาพมาตรฐาน/การจัดการศึกษาภายใต้กฏหมายอุดมศึกษา เพื่อคุ้มครองผู้บริโภค และมาตรฐานการจัดการศึกษาของไทย และกำชับให้สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา(สกอ.) ต้องเข้าไปกำกับดูแลเรื่องมาตรฐานการจัดการศึกษาของสถาบันเหล่านั้นและต้องประสานกระทรวงต่างประเทศเรื่องกระบวนการออกวีซ่านักศึกษาต่างชาติ และประสานกระทรวงแรงงาน เรื่องการลักลอบทำงาน เช่น ร้านขายอาหาร ขายของตามพื้นที่ต่างๆ หรือทำธุรกิจในไทย อย่างใกล้ชิด
ดร.สุวิทย์ กล่าวอีกว่า ปัญหาดังกล่าวได้เสนอนายกรัฐมนตรี ว่า กระทรวงพาณิชย์ ต้องไปพิจารณาการถือหุ้นแบบนอมินี ว่ามีกฎหมายอะไรควบคุมอยู่ รวมทั้งการออกวีซ่า นักเรียน นักศึกษา ของกระทรวงต่างประเทศ ต้องมีความชัดเจน เหมือนสหรัฐอเมริกา (J1 visa) และกำหนดระยะเวลาที่อยู่ในไทยให้เหมาะสม ขณะที่ ตม. ต้องเข้มงวดการตรวจคนเข้าเมือง และ ตำรวจ ต้องกวดขันเรื่องการตรวจและรายงานผลกรณีพบนักศึกษาต่างชาติที่ลักลอบไปทำงาน เป็นต้น อว. พร้อมจะเป็นเจ้าภาพเชิญประชุมทุกหน่วยราชการที่เกี่ยวข้อง เพื่อประสานให้เป็นไปตามกม.ที่เกี่ยวข้อง