เปิดแนวคิดเก็บ ภาษีความเค็ม สินค้าใดเข้าข่ายบ้าง?
ก่อนอื่นมาดูว่ามีประเทศใดบ้างที่ใช้มาตรการลดความเค็มและของไทยจะมีแนวทางจัดเก็บจากสินค้าใดบ้าง
ประเทศใช้มาตรการลดบริโภคเค็ม
- มาตรการภาษี -
ประเทศฮังการี
-เก็บภาษีอัตรา10-15%ในปี 2554
-สินค้าขนมขบเคี้ยว-เครื่องปรุงรส
-ประชาชนลดบริโภคลง 20-35%
-ผู้ผลิตปรับสูตรอาหารลดโซเดียมลง
ประเทศโปรตุเกส
-เริ่มจัดเก็บภาษีปี2561
-อาหาร ขนมเช่น เวเฟอร์ บิสกิต มันฝรั่งแห้งหรือทอด
-เกลือเกิน 1% หรือโซเดียมเกิน400มก./100กรัมเก็บ27บาทต่อกก.
- มาตรการอื่นๆ
ประเทศอังกฤษ
- มีกฎหมายกำหนด "ฉลากแบบ สัญญาณไฟจราจร"
- ใช้กับส่วนผสม 4 ชนิด คือ น้ำตาล ไขมัน ไขมันอิ่มตัวและเกลือ
**"สีเขียว -ปริมาณน้อย สีเหลือง (หรือส้ม)-ปานกลาง สีแดง-ปริมาณมาก เพื่อให้ผู้บริโภคเห็นได้ชัดเจน
ประเทศชิลี
- มีการใช้ "ฉลากคำเตือน" ในอาหาร/ขนมโซเดียมเกินมาตรฐาน
-มีการลดปริมาณค่ามาตรฐานลงเป็น 3 ระยะ
*ปี 59 กำหนดมีปริมาณโซเดียม 800 มก./100 กรัม
*ปี 61 ปริมาณโซเดียม 500 มก./100 กรัม
*ปี 62 ปริมาณโซเดียม 400 มก. / 100 กรัม
-อาหารที่มีฉลากคำเตือนไม่ให้ขายในโรงเรียนหรือทำการตลาดกับเด็ก
ข้อแนะนำการบริโภคอาหารเค็ม
องค์การอนามัยโลกแนะนำ บริโภคโซเดียมไม่เกิน 2,000 มล./วัน เทียบเท่าเกลือไม่เกิน 5 กรัม/วัน
ปัญหาที่พบในไทย คือ คนไทยบริโภคเกลือ 10 กรัม/วันหรือมากกว่า ทำให้เป็นสาเหตุให้คนไทยเสียชีวิตมากสุด อันดับ 1 โรคหัวใจขาดเลือก อันดับ 3 โรคหลอดเลือกสมอง อันดับ 8 โรคไตเรื้อรัง ซึ่งค่ารักษาพยาบาลปีละ50,000-100,000 ล้านบาท
แนวคิดจัดเก็บภาษีความเค็มของไทย
* สินค้าที่เข้าข่าย
-อาหารแช่แข็ง
-อาหารกระป๋อง
-บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป/โจ๊ก
-อาหารกึ่งสำเร็จรูป
* สินค้าไม่เข้าข่าย
- เกลือ น้ำปลา ซีอิ๊ว ซอสปรุงรส
-อาหารตามสั่ง ก๋วยเตี๋ยว ร้านข้าวแกง
-สินค้าชุมชน ปลาเค็ม เนื้อแดดเดียว
-ขนมขบเขี้ยวของเด็ก ไม่ถือเป็นอาหารจำเป็น
แน่นอนว่าการเก็บภาษีความเค็มจะมีผลให้ราคาสินค้า ที่มีโซเดียมสูงในระดับที่กฏหมายกำหนดไว้จะต้องจ่ายภาษีเพิ่มขึ้น สุดท้ายผู้ประกอบการอาจเลือกวิธีผลักภาระให้ผู้บริโภคนั้น คือ การปรับขึ้นราคาสินค้า