“6 ไอเทมสุดแปลกของไทย” บอกเลยแหวกแนวนักวิทยาศาสตร์สุด!

หากสังเกตดูให้ดีจะเห็นว่าที่ผ่านมาโลกของเรา มีไอเทมแปลกๆ เกิดขึ้นอย่างมากมายหลายสิ่ง บางอย่างก็เป็นสิ่งที่ดีงาม บางอย่างก็ยังงงๆ อยู่ว่าเกิดขึ้นมาเพื่ออะไร!? แถมยังมีการโฆษณาสรรพคุณแบบครอบจักรวาลสมทบอีก 

ซึ่งเจ้าสิ่งอย่างหลังนี้จากอดีตจนถึงปัจจุบันก็มีไม่น้อย อย่างเช่นกรณีล่าสุดที่แม้แต่วิทยาศาสตร์ก็ยังพิสูจน์ไม่ได้อย่าง ‘บัตรสมาร์ทการ์ดรักษาโรค' ที่กำลังโด่งดังกันอยู่ขณะนี้ และไอเทมจำพวกที่ว่านี้จะมีอะไรบ้างเราไปย้อนรอยดูกันดีกว่า ว่าประเทศไทยเราเคยมีอะไรบ้างที่วิทยาศาสตร์ยังพิสูจน์ไม่ได้ แต่กลายเป็นที่โด่งดังจนออกเป็นข่าวใหญ่โต

กำลังเป็นข่าวใหญ่อยู่ในตอนนี้สำหรับบัตรสมาร์ทการ์ด ที่ตัวแทนขายอวดอ้างสรรพคุณว่าสามารถรักษาโรคต่างๆ ได้ด้วยการเอาไปแตะตามเนื้อตัว หรือใช้จุ่มในน้ำแล้วดื่ม ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมสำหรับชาวบ้านในแถบภาคอีสาน  

หากยังจำกันได้เมื่อไม่กี่ปีก่อน มีกระแสฮิต ‘ตุ๊กตาลูกเทพ' เกิดขึ้น ผู้คนต่างแห่กันอุ้มไปไหนมาไหนด้วยโดยเชื่อว่าเป็นเครื่องรางของขลังที่สามารถช่วยเรียกเงินทองได้ แถมยังฮิตกันแบบทั้งบ้านทั้งเมือง!! แน่นอนว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องของ ‘ความเชื่อ' ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องที่ผิดเรื่องถูกอะไรและพิสูจน์ไม่ได้ แต่เนื่องจากตุ๊กตาลูกเทพเป็นกระแสที่มาแรงเอามากๆ ในช่วงนั้น ชาวเน็ตหลายคนจึงออกมาวิจารณ์ถึงเรื่องนี้ว่าอาจเป็นเรื่องอุปาทานหมู่

น้ำมหาบำบัดและน้ำเจียระไนเพชร คือชื่อของผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ ‘ป้าเช็ง' ซึ่งทางแบรนด์ได้กล่าวอ้างว่าเป็นยาครอบจักรวาล รักษาได้หลายโรคบนโลกใบนี้ จนทำให้มีชื่อเสียงอย่างมาก แต่ว่าในเวลาต่อมาหลังจากเป็นข่าว ทางสาธารณสุขก็ได้นำน้ำหมักของป้าเช็งมาตรวจสอบแล้วก็พบว่า ในน้ำหมักมีความเป็นกรดอยู่สูงมาก ส่วนยาหยอดตาก็อาจทำให้ตาบอดได้ เรื่องนี้จึงสิ้นสุดลงตรงที่การจับกุมป้าเช็งในที่สุด

น้ำมะนาวโซดา คือเครื่องดื่มที่จิบแล้วแสนจะชื่นใจยามฤดูร้อน แต่ถึงอย่างนั้นหลายคนก็อาจได้รับสารที่แชร์ต่อๆ กันในโลกออนไลน์มาว่า น้ำมะนาวโซดาสามารถฆ่าเซลล์มะเร็งมากกว่าการทำคีโมได้ถึง 10,000 เท่า!!

ก่อนที่จะมีสมาร์ทการ์ดรักษาโรคเกิดขึ้น เมื่อ 5 ปีที่แล้ว ก็มี ‘สมาร์ทการ์ดประหยัดน้ำมัน‘ แพร่ระบาดในประเทศไทยเรา

คงไม่ต้องพูดอะไรมากสำหรับเจ้าสิ่งนี้ เมื่อศาลไทยได้สั่งจำคุกผู้นำเข้า 9 ปี... พร้อมกันก็มีหลายคนวิจารณ์ GT -200 ว่าเหมือน ‘ไม้ล้างป่าช้า' และไม่มีแม้แต่คำอธิบายทางวิทยาศาสตร์ในการทำงานใดๆ ด้วย โดยการทดสอบพบว่าสามารถตรวจจับวัตถุต้องสงสัยได้เพียง 4 ครั้ง จากทั้งหมด 20 ครั้ง หรือมีความแม่นยำไม่ต่างจากการ "เดาสุ่ม" นั่นเอง