แฉพิรุธกางเกงใน!!? พ่อแม่ไม่เชื่อ ลูกม.2 ข่มขืนเด็ก 4 ขวบ ในโรงเรียน
หน้าแรกTeeNee ที่นี่ข่าววันนี้, ข่าวหน้าหนึ่ง ข่าวอื่นๆ แฉพิรุธกางเกงใน!!? พ่อแม่ไม่เชื่อ ลูกม.2 ข่มขืนเด็ก 4 ขวบ ในโรงเรียน
จากกรณีเหตุการณ์สุดสะเทือนใจ แม่ร้องมูลนิธิปวีณา ลูกสาววัย 4 ขวบ ถูกรุ่นพี่ ม.2 จำนวน 3 คน ล่วงละเมิดทางเพศในห้องน้ำหลังโรงเรียน แพทย์ระบุว่ามีการกระทำอนาจารจริง เจ้าหน้าที่ได้ดำเนินการกับเยาวชนชายทั้ง 3 ที่ร่วมกันก่อเหตุ ซึ่งบางคนอยู่ในสถานพินิจ และบางคนได้รับการประกันตัวออกมา
ล่าสุดครอบครัวเด็กชาย ม.2 “แม่น้องเอ็ม” (นามสมมติ) ซึ่งตอนนี้อยู่ในสถานพินิจ “พ่อน้องบี” (นามสมมติ) และ “น้องบี” ได้ออกมาร้องผ่านรายการโหนกระแส วันที่ 15 ต.ค. โดย “อริสรา กำธรเจริญ” เป็นผู้ดำเนินรายการแทน “หนุ่ม กรรชัย กำเนิดพลอย” ผลิตในนามบริษัท ดีคืนดีวัน จำกัด ออกอากาศทุกวันจันทร์- เวลา 13.30-14.10 น. ทางช่อง 28 โดยยืนยันว่าลูกไม่ได้ทำ พร้อม “ทนายเดชา กิตติวิทยานันท์” ทนายคลายทุกข์ มาร่วมรายการด้วย
คุณแม่น้องเอ็ม เหตุการณ์วันนั้นเป็นยังไง ลูกชายเล่าอะไรให้ฟัง?
แม่น้องเอ็ม : “เขามาเล่าว่า เขาถูกกล่าวหาว่าเขาไปข่มขืนเด็ก เราก็เลยถามว่าใครกล่าวหา เด็กผู้หญิงเป็นใคร เขาบอกว่าพวกที่โรงเรียนบอกผมเป็นคนทำ มาโบ้ยลูกเรา แล้วลูกก็พูดถึงเรื่องดีเอ็นเอ ก็บอกว่าห้ามให้ตรวจนะ ถ้าไม่มีผู้ใหญ่ไปด้วย แต่เขาบอกว่าเขาให้ตรวจไปแล้วเพราะเขาไม่ได้ทำ”
เหตุการณ์เกิด 4 ก.ย. เขาเล่ามั้ยว่าไปโรงเรียนแล้วทำอะไรบ้าง?
แม่น้องเอ็ม : “เขาบอกว่าช่วงเกิดเหตุ ครูให้เขาไปซื้อกาแฟร้านหลังโรงเรียน เขาไปซื้อกาแฟ ก็เล่าปกติ ช่วงเกิดเหตุเราก็ถามว่าเขาอยู่ตรงไหน เขาบอกว่าไปกับเพื่อน น้องบี ก็ขอให้น้องบีไปเป็นเพื่อน ช่วงเวลากี่โมงไม่ได้บอก ร้านกาแฟอยู่หลังโรงเรียน จะไม่ผ่านห้องน้ำเด็กอนุบาล ซึ่งอยู่ด้านหน้า ร้านกาแฟหลังโรงเรียนคนละฟากกันเลย ห่างกัน”
เหตุการณ์เป็นอย่างที่คุณแม่เล่า?
น้องบี : “ใช่ครับ วันเกิดเหตุคุณครูใช้เพื่อนอีกคนไปซื้อกาแฟ แล้วขอให้ผมไปด้วย ระหว่างทางมีเพื่อนอีก 2 คนฝากซื้อน้ำ ผมก็ซื้อให้ พอเดินไปหลังโรงเรียน มีเด็กอีกคนฝากซื้อน้ำ ผมไม่ซื้อให้ พอไปถึงร้านกาแฟ เอ็มไปร้านกาแฟ ผมก็แยกไปร้านน้ำ ซึ่งอยู่กันไม่ไกล พอซื้อเสร็จก็ไปรอเอ็ม แล้วก็เดินกลับตึก ระหว่างทางเจออีกคนอยู่หน้าตึกที่ถูกกล่าวหาเหมือนกัน เขาขอไปด้วย ผมก็ให้เอ็มกับเพื่อนอีกคนเอาน้ำให้ครู ผมก็ยืนรอหน้าห้อง พอให้น้ำครูเสร็จ ผมก็ให้เอ็มและเพื่อนเอาน้ำไปให้เพื่อน แล้วก็ให้เอ็มกับเพื่อนลงไปเอากระเป๋าให้ผม เสร็จก็ลงไปเรียนศิลปะ”
เป็นเด็ก 3 คนที่มาเกี่ยวข้อง?
น้องบี : “ครับ”
ระยะทางจากห้องเรียนกับร้านกาแฟไกลกันมั้ย?
น้องบี : “ไม่ไกลครับ ระหว่างเดินทางก็ 5 นาทีได้ รวมเบ็ดเสร็จไปซื้อน้ำ และกลับมาห้องเรียน น่าจะครึ่งชม.ได้”
มีแวะไปห้องน้ำ?
น้องบี : “ไม่มี พอซื้อเสร็จก็เดินขึ้นตึกไปหาครูเลย”
ครูบอกว่าไม่ถึงครึ่งชม.ก็เสร็จ?
น้องบี : “ร้านน้ำทำช้าครับ คิวไม่มีนะครับ แต่กว่าจะเอาน้ำให้ครู ให้เพื่อนก็ครึ่งชม.ได้”
ยืนยันว่าครูเห็น 2 คน เพราะบางรายงานบอกว่าครูเห็นคนเดียว?
น้องบี : “ผมไม่ถึงห้อง ให้เขาสองคนเอาน้ำไปให้ครู ไปกันสองคน ไม่ใช่คนเดียว”
นี่คือสิ่งที่ลูกเล่าให้พ่อฟัง?
พ่อน้องบี : “ความจริงเป็นแบบนี้ เขาก็เล่าแบบนี้ ดูจากระยะทางและเวลาก็พอสมควร ก็สอดคล้องกัน เวลาซื้อ เวลากลับ และแวะเอาน้ำให้เพื่อน แวะไปเรียนศิลปะ เขามีการไปเช็กชื่อไม่ทัน แต่มีการเช็กชื่ออยู่ แต่ก็เลยอันดับของเขาไปแล้ว นี่คือจุดที่เขาว่าเด็กหายไป”
คนฝากซื้อน้ำอีก 2 คนที่จะเป็นคนยืนยันได้?
น้องบี : “ใช่ครับ”
พ่อน้องบี : “มันคนละทางกันอยู่แล้ว ไม่รู้จะเดินมาทำไมข้างหน้าเพราะร้านอยู่ข้างหลัง คนละห่าง ห่างไกลกันมาก”
ปกติซื้อน้ำให้เพื่อนบ่อยมั้ย?
น้องบี : “ไม่บ่อยครับ นี่คือครั้งแรก ก่อนหน้านี้ไม่เคยไปเลย”
ครูใช้ในช่วงพักหรือช่วงเรียน?
น้องบี : “ช่วงเรียนครับ อีก 5 นาทีจะหมดเวลา”
น้องบีเคยเห็นหน้า หรือรู้จักน้องวัย 4 ขวบมั้ย?
น้องบี : “ไม่เคยเห็นหน้าเลยครับ”
น้องเอ็มรู้จักมั้ย?
แม่น้องเอ็ม : “น้องบอกไม่เคยรู้จักเลย ไม่เคยเห็นหน้าเลย”
น้องเอ็มมีแฟนมั้ย?
แม่น้องเอ็ม : “มีเพื่อนสนิทค่ะ เหมือนคุยกับคนนี้ เขาไม่เคยพามาแนะนำว่าคนนี้แฟน น้องเอ็มเขาชอบเล่นกีฬามากกว่า ยุ่งกับการซ้อม ไม่มีเวลาที่จะคุย บางทีก็บอกเราจะไปซ้อมโน่นซ้อมนี่ ก็บอกว่าขอเวลาบ้างนะ 15 นาทีได้มั้ยลูก เขาก็จะโอเค ก็จะเป็นแบบนี้”
บีมีแฟนมั้ย?
น้องบี : “มีแฟนครับ พอเป็นข่าวแฟนก็ตกใจ”
พ่อมีหลักฐานอะไรบ้าง?
พ่อน้องบี : “มีพยานบุคคล คือหนึ่งประเด็นเรื่องห้องน้ำ จุดที่เกิดเหตุ ดูจากข่าวมันไม่ใช่ มันไม่ตรงกับความจริง ห้องน้ำจริงๆ คือห้องน้ำครูที่เกิดเหตุ ผมสอบถามนักเรียนรุ่นพี่มัธยมปลาย ส่วนมากจะรู้กันว่าห้องน้ำที่เกิดเหตุคือห้องน้ำครู ทำไมข่าวบอกว่าห้องน้ำนั้น ห้องน้ำก็อยู่ละแวกเดียวกัน แต่อยู่คนละทางกับร้านกาแฟ ห้องน้ำครูจะใหญ่สุด”
ลูกไม่ได้มาที่นี่แน่นอน?
พ่อน้องบี : “ใช่ครับ พอเกิดเหตุผมก็ไปดูที่เกิดเหตุ และถามเด็กมัธยมเองด้วยซ้ำ ว่าห้องน้ำไหนเป็นห้องที่เกิดเหตุ เขาบอกห้องน้ำนี้ เราก็ถามว่าแน่ใจได้ไงว่าห้องน้ำนี้ เขาบอกว่าครูเป็นคนบอก ตำรวจก็มาตรวจที่ห้องน้ำนี้ อันนี้คือหนึ่งแล้ว แล้วการเก็บหลักฐาน สองคือเรื่องกางเกงใน ตำรวจลงพื้นที่เก็บหลักฐานวันที่ 5 แต่ทำไมถึงไปเก็บกางเกงในเด็กผู้ชายได้วันที่ 6 ทำไมวันที่ 5 ถึงไม่เจอหลักฐานชิ้นนี้ ถ้าไปตรวจก็ต้องเจอตั้งแต่วันที่ 5 แล้ว ทำไมต้องรอให้เป็นวันที่ 6 แล้วไปเก็บ”
กางเกงในที่เก็บไป?
พ่อน้องบี : “เห็นเขาบอกว่าเป็นสีน้ำเงิน ลูกไม่มี เขามีบ็อกเซอร์ ไม่มีกางเกงในแบบนี้”
กางเกงในที่เขาเก็บได้เป็นหลักฐาน ใช่ของน้องบีหรือเปล่า?
น้องบี : “ไม่ใช่ครับ ปกติผมใส่พวกสเตย์มากกว่า ผมไม่ใส่กางเกงใน”
ของเอ็มหรือเปล่า?
แม่น้องเอ็ม : “เอ็มใส่สเตย์ เขาเล่นกีฬา เขาใส่สเตย์”
สามคืออะไร?
พ่อน้องบี : “มีผู้หวังดีเขาเข้ามาให้ข้อมูลกับเรา เขาเป็นเพื่อนของครูในโรงเรียน ที่เขาตั้งคณะกรรมการสอบ ว่ามีความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหนที่จะเป็นเรื่องจริง ผมก็เชิญเขามาคุยที่บ้าน ก็อัดเสียงไว้ เขาก็เล่าตั้งแต่ต้นว่า ในขั้นตอน ทำไมเด็กถึงชี้ลูก ชี้ยังไง เขาทำกันเอง เขาชี้กันเองในขั้นตอนแรก บอกว่าเอารูปมาเป็นสิบๆ แต่ชี้ทุกคน ไม่ได้ชี้แค่สามคนนี้ เด็กชี้ทุกคน เพื่อนครูเล่าให้ฟัง”
เด็กชี้ 3 ครั้งนะ?
พ่อน้องบี : “อันนั้นเขาทำทีหลัง ผมไม่รู้ แต่เพื่อนครูบอกว่าเขาชี้หลายครั้งและชี้หลายคน ไม่ใช่สามคน เขาทำกันเอง ผมก็ไม่รู้ตอนแรก แต่ที่แม่เด็กบอกว่าตำรวจไปหาเขาที่บ้าน ก็ให้ชี้กันเอง”
พ่อเชื่อว่ามีพิรุธ?
พ่อน้องบี : “มีพิรุธ”
ทำไมน้องบีเป็นหนึ่งในหลายๆ ภาพให้เด็กชี้ ในเมื่อเด็กม. 2 มีตั้งเยอะ?
พ่อน้องบี : “เขาบอกว่าตอนแรกเอารูปมาให้ดูเป็นรูป 3 คนนี้ แล้วเอาไปปนๆ กับคนอื่นๆ เด็กก็ต้องบอกว่ารู้จัก 3 คนนี้เพราะดูรูป 3 คนนี้ก่อน”
ทำไมเอ็มถูกเป็นหนึ่งในหลายๆ รูปให้เด็กชี้?
แม่น้องเอ็ม : “คิดว่าน้องอยู่กลาง เป็นจุดเด่นของหลายๆ ภาพ หลายๆ คน เด็กน่าจะจำได้ ถ้าเขาให้ดูตั้งแต่ทีแรก”
คุณพ่อบอกว่าที่เพื่อนครูมาเล่าให้ฟังเป็นคลิปเสียง?
พ่อน้องบี : “มีครับ เขาไม่รู้ว่าอัดไว้ เราคุยกันประมาณ 40 นาที เขาตั้งใจเข้ามาช่วยเหลือเรา เพราะเขาเชื่อว่าเด็กไม่ได้ทำ เขาไปหาครูที่โรงเรียน นั่งคุยกันตีหนึ่งตีสองก็เล่าเหตุการณ์เรื่องนี้ว่าเป็นอย่างนี้”
คลิปเสียง 40 กว่านาที?
พ่อน้องบี : “บอกว่าทางโรงเรียนทำอะไรกันบ้างแต่ละขั้นตอน ตอนนี้ครูแบ่งเป็นสองกลุ่ม กลุ่มที่เชื่อและกลุ่มที่ไม่เชื่อ เราเก็บไว้ ไม่ได้บอกใคร”
หลักฐานอื่น?
แม่น้องเอ็ม : “มีค่ะ เด็ก 4 ขวบเขารู้ได้ไงว่าเด็กกลุ่มนี้อยู่ม.2 ทั้งที่ไม่มีสัญลักษณ์อะไรให้บอก ทำไมต้องบอกว่าเด็กม.2 คะ”
พ่อน้องบี : “สงสัยครับ ตอนแรกผมก็ถามว่าทำไมถึงชี้ เขาบอกว่าก็เสื้อขาว กางเกงดำ วันนั้นจะมีรุ่นพี่ ม.3 ใส่เสื้อม่วง ม.1 ม. 2 ใส่เสื้อขาว กางเกงดำ แต่ในคลิปบอกว่า เสื้อม่วงก็ชี้ ชี้หมดทุกคนแหละครับ แต่เขาไม่ได้เอามาบอกกับคนอื่นแบบนี้ เอามาบอกอีกอย่าง ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน แต่ที่เขาไปคุยกับครูมาและคุยกับผม มันเป็นแบบนี้”
มีหลักฐานอื่นอีกมั้ย?
พ่อน้องบี : “แล้วกรณีเหตุเกิดไปแล้ว เขาตั้งข้อกล่าวหา โดยปกติ ถ้าเด็กโดยกระทำแบบนี้ต้องออกมาร้องบอก เด็กเดินกลับไปนอนกลางวันเฉยๆ พอใกล้เวลากลับบ้าน ครูเดินมาเห็นลมพัดกระโปรงเปิด เห็นเป็นคราบเลือดติดกางเกงใน ไม่ใช่เลือดไหลออกมาจากกางเกงในที่เป็นข่าว ครูคิดว่าเป็นลายกางเกงใน ก็ไม่แน่ใจ พอดูก็เห็นว่าเป็นคราบเลือด คือถ้าครูไม่เห็น เด็กก็กลับบ้านปกติ เพราะเด็กไม่ได้ร้องบอกใคร”
บางกระแสข่าวบอกว่าเด็กร้อง แต่จริงๆ ไม่ได้ร้องเลย?
พ่อน้องบี : “ใช่ครับแล้วครูอีกห้องนึงนะ ไม่ใช่ครูประจำชั้น เขาเห็นเลยเรียกมาถาม ครูเลือกโทรไปถามแม่เด็ก ถามว่าลูกมีอาการเยี่ยวขับอะไรหรือเปล่า เขาบอกไม่มี ก็เลยมาดูลูก”
มีแชตที่พูดคุยกับเพื่อนลูก?
แม่น้องเอ็ม : “เราเปิดโทรศัพท์เขา เพื่อนเขาคงเห็นว่าออนเลยทักกลับมา เพื่อนก็บอกว่าเป็นยังไงบ้าง เราก็บอกว่าดี แต่บอกว่านี่แม่นะ ไม่ใช่เอ็ม เขาก็บอกว่าคิดว่าเอ็มกลับบ้านไปแล้ว เราก็เลยถามว่าเรื่องที่ครูใช้ให้ไปซื้อกาแฟ จริงมั้ย เขาบอกว่าจริง แล้วทำไมครูไม่ออกมาเป็นพยานให้ เขาบอกว่าไม่ทราบครับ แล้วทำไมพวกเราไม่ออกมาเป็นพยานให้ เขาบอกว่าถูกสั่งไม่ให้พูด”
พ่อน้องบี : “ถูกสั่งไม่ให้พูดทุกคน เด็กทุกคนบอกว่าที่โรงเรียนห้ามให้สัมภาษณ์ ห้ามพูด ถ้าอยากรู้ให้ดูในข่าว”
รวมทั้งเพื่อนสองคนที่ฝากบีซื้อน้ำก็ไม่ได้ออกมาช่วยบีเลย?
พ่อน้องบี : “ใช่ครับ”
แม่น้องเอ็ม : “เขาบอกว่ากลัวเสียชื่อโรงเรียน”
ทนายว่ายังไง?
ทนายเดชา : “มันเป็นคดีล่วงละเมิดทางเพศ แนวทางตัดสินส่วนใหญ่จะเชื่อผู้เสียหาย ยังเป็นผู้เยาว์ไร้เดียงสา ไม่น่าสร้างเรื่องปรักปรำใคร สองไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกัน ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ก ไม่รู้จะกลั่นแกล้งทำไม ฟังจากเริ่มต้นจนถึงตอนนี้ ผู้ต้องหาอ้างไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุ หากผู้เสียหายหรือพนักงานสอบสวน สามารถตรวจสอบได้ว่ามีดีเอ็นเอผู้ต้องหาทั้งหมด มีประจักษ์พยาน มีคนยืนยัน มีกางเกงใน มีสารคัดหลั่ง มีคราบเลือด อันนี้ก็ต้องสู้คดี เพราะผู้ต้องหาทั้ง -3-4 คน ต่อสู้เรื่องไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุ พอฟังปุ๊บ คดีนี้มีช่องว่างตรงที่ว่าไม่มีวงจรปิด ซึ่งก็แปลกๆ นะที่โรงเรียนไม่มี ประจักษ์พยานมีเฉพาะตัวผู้เสียหาย คนอื่นไม่มี ผู้เสียหายถ้าจะเอาผิดผู้ต้องหา ต้องหาประจักษ์พยานแวดล้อม ก่อนเกิดเหตุ มีใครเห็นผู้ต้องหามั้ย ถ้ามีก็หนักแน่นขึ้น มาพูดเรื่องข้อต่อสู้เด็กสามคนนี้ เป็นผู้เยาว์เหมือนกัน ซึ่งถ้าใครจะเสี้ยมให้โกหกอะไรยังไง พอขึ้นศาลจะไปไม่รอดหรอกเพราะเด็กไม่ได้ซับซ้อนเหมือนผู้ใหญ่ ใครก็แล้วแต่ไปเสี้ยมสอนผู้ต้องหา เดี๋ยวก็ตกน้ำตาย ฟังแล้วอ้างสถานที่อยู่อย่างเดียว ถ้าทางฝ่ายผู้เสียหาย มีดีเอ็นเอ มีคราบเลือด ก็จบแล้ว ช่วยอะไรไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นเลยถ้าผู้ต้องหาสามคนอยากต่อสู้คดี ต้องจับพิรุธของเด็กให้ได้ ว่าเด็กมีคำพูดหรืออะไรที่ขัดกันเอง อะไรเป็นสาระสำคัญ เพราะดูจากบันทึกการจับกุม หลังเกิดเหตุ 7 ชม. ครูเจอคราบเลือด ก็เจอปัญหาในวันเดียวกัน พออีกวันกองพิสูจน์หลักฐานก็เข้าไป ก็เป็นหน้าที่ของทั้งสามคน อยากให้ลูกรอดก็ต้องหาพยานหักล้างให้ได้ มันไม่ได้ง่ายนะ ถ้าเราไม่ได้ทำ ความจริงก็คือความจริง”
คุณครูที่อยู่ในเหตุการณ์ ยังสอนอยู่มั้ย?
แม่น้องเอ็ม : “สอนอยู่ค่ะ เขาออกมาให้สัมภาษณ์แล้ว”
คุณพ่อคุณแม่บอกว่าพยานบุคคลที่ใช้ไปซื้อน้ำซื้อกาแฟ ยังไม่มีโอกาสมาให้ปากคำเลย?
ทนายเดชา : “พยานพวกครู พวกเพื่อน เป็นพยานแวดล้อม มันไกล จะมีประโยชน์กับลูกเขาน้อย ความเห็นส่วนตัวนะ เราต้องดูว่าทางเด็กอนุบาล เขามีพยานอะไรบ้าง หักล้างได้มั้ย ถ้าเขามีดีเอ็นเอก็สารภาพมาดีกว่า เพราะถ้าคุณอ้างสถานที่อยู่ แล้วดีเอ็นเอจะไปอยู่ที่ตัวผู้เสียหายได้ยังไง”
แม่กับพ่อบอกว่าไม่อยากให้เก็บดีเอ็นเอ แต่ลูกให้เก็บไปแล้ว?
พ่อน้องบี : “มันเป็นทางเดียวที่จะยืนยันความบริสุทธิ์ใจ ผมก็ให้ตรวจ แต่ขั้นตอนตรวจก็เป็นห่วงไง ว่าตรวจกันยังไง มีหน่วยงานไหนมาบ้าง อยากให้อยู่กันเยอะๆ พอเขานัดมาโทรผมให้ไปประกัน เขาบอกว่ายังไมได้ส่งตรวจเลย นั่นเป็นอาทิตย์แล้วนะ ที่เก็บไป”
ทนายเดชา : “ก็ชวนสงสัยได้ ถ้าเขาอธิบายได้ ผู้ต้องหาก็สู้ไม่ได้ แต่ถ้าอธิบายไม่ได้ก็ชวนสงสัย ต้องสู้กันเรื่องดีเอ็นเอ ถ้ามีก็จบเลยไม่ต้องไปสู้”
พ่อน้องบี : “ตรวจเลยครับ”
ทนายเดชา : “ถ้าพ่อสงสัยก็ตรวจได้ เพราะดีเอ็นเอความแม่นยำสูง โอกาสผิดเพี้ยนยาก นอกจากทุจริต”
พ่อน้องบี : “เราคิดว่าตรวจส่งไปแล้ว แต่เขาบอกว่ายังไม่ได้ส่งตรวจ ผมก็งงเหมือนกัน”
ถามน้องบี สภาพจิตใจเป็นยังไงบ้าง?
น้องบี : “ผมไม่ออกไปไหนเลย มีคนจะทำร้าย ทักเฟซมาด่า ออกไปไหนไม่ได้เลย”
เปิดเทอมยังไปเรียนโรงเรียนเดิมมั้ย?
น้องบี : “แล้วแต่พ่อครับ”
เครดิต :
ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!" ประกาศ "
ร่วมแสดงความคิดเห็น