พล.ต.อ.วิระชัย กล่าวว่า การตรวจค้นครั้งนี้เป็นการตรวจค้นครั้งที่ 3 ซึ่งเมื่อวันที่ 1 พ.ค.ที่ผ่านมา ได้ตรวจค้นไปแล้ว 6 จุด และวันที่ 2 พ.ค.ที่ผ่านมา มีการตรวจค้นอีก 117 จุด โดยสามารถตรวจยึดของกลางได้ 107 จุด รวม 2 วันที่ผ่านมา มีการตรวจค้น 123 จุด สามารถตรวจยึดได้ 113 จุด และนำตัวบุคคลที่เป็นจ้าของร้านค้าไปสอบปากคำที่สโมสรตำรวจ วิภาวดีรังสิต แล้ว ซึ่งตอนแรกเจ้าหน้าที่ตำรวจตั้งใจจะสอบปากคำที่ตลาดแห่งนี้ แต่เนื่องจากทางเจ้าของตลาดไม่ให้ใช้สถานที่ โดยตลอดทั้ง 2 วันที่ผ่านมา ที่มีการเข้าตรวจค้น พบร้านค้ากว่า 90 เปอร์เซ็นต์ขายของผิดกฎหมาย
พล.ต.อ.วิระชัย กล่าวต่อว่า และในวันนี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้มีหมายค้นมาทั้งหมด 13 หมายตามเป้าที่ตั้งไว้ ซึ่งจะต้องทำการตรวจค้นให้แล้วเสร็จภายในวันนี้ หากพบว่ามีผู้ขัดขวางการทำงานให้แจ้งว่าทางเจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่ แต่หากยังขัดขวางอยู่ไม่ว่าบุคคลใดก็ให้ถ่ายวิดีโอและภาพไว้ เพื่อจะนำไปดำเนินคดี 1 ครั้ง ต่อ 1 กระทง โดนมีโทษจำคุก 2 ปี ปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
รอง ผบ.ตร. กล่าวถึงกรณีพ.ต.ท.สันธนะ ประยูรรัตน์ อดีตตำรวจ รอง ผกก.สันติบาล ว่าตอนนี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจขอทำการปฏิบัติการก่อน ส่วนเรื่องอื่นนั้นอายุความยังอยู่อีกนานสามารถดำเนินการได้ อย่างไรก็ตาม หากเกิดเหตุอะไรตนจะรับผิดชอบทุกอย่างด้วยตนเอง และขอบคุณเจ้าหน้าที่ตำรวจและผู้เกี่ยวข้องทุกหน่วยงานที่มีความอดทนและอดกลั้นในการปฏิบัติหน้าที่ ทำให้ภารกิจประสบความสำเร็จได้อย่างดีเยี่ยม และขอหมอบสโลแกนให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดปฏิบัติการว่า "องอาจ สมาร์ท ฮึกเหิม"
ต่อมาเวลา 09.30 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำหมายศาลแขวงดอนเมืองเข้าค้นอาคารพาณิชย์เลขที่ 199/130-199/131 จำนวน 2 คูหา ซึ่งเป็นจุดที่ 1 ภายหลังการตรวจค้นกว่า 1 ชั่วโมง พล.ต.อ.วิระชัย กล่าวว่า จากการตรวจค้นอาคารแห่งนี้พบวัตถุดิบ และสารตั้งต้นที่ใช้ในการผลิตเครื่องสำอาง เครื่องกวน สูตรที่ใช้ในการผลิตเครื่องสำอาง และเครื่องปริ้นเตอร์สติ๊กเกอร์ขนาดใหญ่ ยาวประมาณ 2 เมตร ที่ใช้ปริ้นตรายี่ห้อต่างๆ ให้กับลูกค้า ทั้งนี้ อาคารดังกล่าวไม่มีการจดตั้งบริษัทหรือขออนุญาตใด ถือว่าผิดกฎหมายในถูกกรณี
พล.ต.อ.วิระชัย กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ ยังพบผลิตภัณฑ์ที่ทำไว้อย่างสมบูรณ์คือ ยี่ห้อมิราเคิล 5 เดย์ ออร่า ซึ่งเป็นการโฆษณาเกินจริง และต้องตรวจสอบว่ามีหมายเลขจดแจ้งถูกต้องหรือไม่ และผลิตภัณฑ์หัวเชื้อนางพญา ซึ่งมีสรรพคุณทำให้ผิวขาวใส ซึ่งไม่มีเครื่องหมายจดแจ้ง อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบพบว่าผลิตภัณฑ์ที่อยู่ในร้านแห่งนี้เป็นของผิดกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นหมายเลข อย.ปลอม หมายเลขจดแจ้งปลอม โดยเชื่อว่ามีลูกค้ามากกว่า 1,000 ราย และกระจายสินค้าทั่วประเทศทั้งในกรุงเทพฯและปริมณฑล ถือเป็นแหล่งผลิตเครื่องสำอางที่ใหญ่มากแห่งหนึ่ง ส่วนครีมต่างๆ ที่พบจะต้องให้ทาง อย. ตรวจสอบรายละเอียดอีกครั้ง ว่ามีสารต้องห้ามหรือไม่
รอง ผบ.ตร. กล่าวอีกว่า ทั้งนี้ เจ้าของร้านไม่มีความรู้ว่าแบบไหนเป็นโรงงานหรือไม่เป็นโรงงาน แบบไหนผลิต แบบไหนไม่เป็นผลิต ซึ่งตามกฎหมายไม่ว่าจะเป็นการบรรจุหีบห่อ หรือติดสติกเกอร์ก็ถือว่าเป็นการผลิต ส่วนคำว่าโรงงานนั้น มีคนมากกว่า 7 คนขึ้นไป มีเครื่องจักรที่มีความสูงถึง 5 แรงม้า ก็ถือว่าเป็นโรงงานแล้ว นอกจากนี้ ทางกฎหมายยังระบุว่า ผู้ที่เป็นเจ้าของที่ดินหรือสถานที่ปล่อยให้ผู้ที่กระทำความผิดมาได้เช่าหรือใช้นั้น จะต้องยึดพื้นที่ดังกล่าวเป็นของหลวงหรือไม่ ขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบ โดยทางเจ้าของที่จะอ้างอะไรก็ได้ แต่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจะทำการรวบรวมพยานหลักฐาน หากพบความผิดในข้อหาใดก็จะดำเนินการอย่างตรงไปตรงมา
"ส่วนที่ต้องเตรียมกำลังเจ้าหน้าที่เป็นจำนวนมาก เพราะแต่ละจุดที่เข้าตรงค้นมีจำนวนหลายชั้นและมีผลิตภัณฑ์จำนวนมาก เชื่อว่าหนึ่งคูหารถบรรทุก 10 ล้อ 1-3 คัน ยังใส่ไม่น่าจะหมด เชื่อว่าหากค้นทั้ง 12 จุด รถบรรทุกน่าจะประมาณ 30 กว่าคัน จึงทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้กำลังเยอะ สำหรับในเรื่องของกลุ่มผู้มีอิทธิพลนั้น การปฏิบัติการครั้งนี้ เป็นการบังคับใช้กฎหมายซึ่งสามารถใช้ได้ทุกที่ หากมีใครมาขัดขวางเราจะดำเนินคดีทันที หากจะใช้กฎหมู่เหนือกฎหมายนั้น โดยให้ผู้ที่ทำผิดกฎหมายมารวมตัวกัน ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจะไม่ยินยอม และหากมีเหตุอะไรเกิดขึ้น เจ้าหน้าที่ตำรวจจะบังคับใช้กฎหมายทันที" พล.ต.อ.วิระชัย กล่าว