นางนัท เปิดเผยว่า เมื่อประมาณปี 58 ที่ผ่านมา ตนเองมีปัญหาเรื่องที่ดินกับเครือญาติ เนื่องจาก น้องสาวที่เป็นลูกพี่ลูกน้องกัน ขายที่ดินแปลงหนึ่งในบ้านเกิด จ.ขอนแก่น กับตนเอง ในราคา 3 ล้านบาท แต่กลับมีญาติบางคนต้องการที่ดินผืนนี้ ทำให้น้องสาวซึ่งเป็นญาติของตนถูกผู้มีอิทธิพล อุ้มหายไปพร้อมลูกสาว 2 คน เป็นเวลานานกว่า 8-9 เดือน หลังจากนั้นตนก็เกือบจะถูกผู้มีอิทธิพลอุ้มไปอีกเช่นเดียวกันกับน้องสาว จนมีคนแนะนำให้ไปขอความช่วยเหลือจากนายทหารคนดังกล่าว ตนจึงไปขอความช่วยเหลือ ก็มีการโทรศัพท์เคลียร์กับผู้มีอิทธิพลคนดังกล่าว จนเรื่องราวจบไป
ต่อมาช่วงปี 2559 ตนต้องการที่จะกู้เงินไปใช้เนื่องจากมีคดีเกี่ยวกับที่ดินในจ.ขอนแก่น ซึ่งพล.ต.คนดังกล่าว ได้ทราบเรื่องก็อาสาที่ช่วยเหลือโดยแนะนำให้ว่า ให้ไปกู้กับนายทุนเงินกู้คนหนึ่งในภาคอีสาน โดยขณะนั้นตนอยู่ที่พัทยา ซึ่งนายทหารคนดังกล่าวก็ให้ตนขับรถเดินทางไปหาที่บ้านพักในค่ายทหารแห่งหนึ่งที่เจ้าตัวทำงานอยู่ เพื่อพูดคุยกับนายทุนในวันนั้นเลย ซึ่งตอนแรกก็ได้ปฏิเสธเพราะเห็นว่าดึกแล้ว จะขอไปพบตอนเช้า แต่พล.ต.คนดังกล่าว ก็บอกให้ไปหาที่บ้านพักได้เลยเพราะนอนดึก แต่เมื่อไปถึงกลับพบว่า พล.ต.คนดังกล่าว อยู่บ้านคนเดียว ส่วนภรรยากับลูกไม่อยู่บ้าน และนายทุนเงินกู้ที่บอกว่านัดจะมาคุยก็ไม่มีแต่อย่างใด
ต่อมาพลตรีคนดังกล่าวก็ให้ตนนอนพักห้องเดียวกัน โดยอ้างว่าไม่ต้องกลัวว่าจะได้รับอันตราย เนื่องจากว่ากำลังป่วยอยู่ ซึ่งในช่วงกลางคืนก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ช่วงเช้าตนกลับถูกขืนใจ ทั้งที่พยายามปัดป้องแล้วแต่สู้แรงไม่ไหว ซึ่งเจ้าตัวพยายามถูกไถด้านนอกจนสำเร็จความใคร่ไป 1 ครั้ง ก่อนจะออกไปทำงาน ทิ้งตนเองให้อยู่ในบ้านพัก
นางนัท ให้การต่อว่า วินาทีนั้นตนรู้สึกกลัวไม่กล้าหนีออกมา เนื่องจากเกรงว่าจะได้รับอันตราย เพราะมีลูกน้องของ พล.ต.คนดังกล่าว อยู่นอกบ้านเต็มไปหมด ช่วงเย็นหลังเลิกงาน เมื่อ พล.ต.รายดังกล่าวกลับมาบ้าน ก็ข่มขืนกระทำชำเราตนเองอีก 1 รอบ จึงได้ต่อว่าไปว่า ไม่น่าทำกับตนเองแบบนี้ ก่อนจะกลับออกมาโดยไม่พยายามติดต่อหรือข้องเกี่ยวอะไรอีก และไม่ได้แจ้งความ เพราะเกรงว่าจะไม่ปลอดภัย ถัดมาอีก 1 ปี พล.ต.คนดังกล่าว ติดต่อมาหาตนเอง หลังทราบเรื่องว่าตนจะต่อเติมบ้านพัก ก่อนจะเดินทางมากรุงเทพฯ หลังจากนั้นก็ออกอุบายลวงให้ตนเองไปพบที่คอนโดฯย่านพัฒนาการ โดยอ้างว่า จะให้ช่วยพาไปส่งที่สนามบินดอนเมือง เมื่อตนเองหลงเชื่อ แต่กลับถูกนายพลคนดังกล่าวหว่านล้อมให้ขึ้นไปรอบนห้อง ก่อนที่จะข่มขืนตน อย่างไรก็ตามหลังเกิดเรื่องตนได้ต่อว่าทำไมทำกับตนแบบนี้ ซึ่งเจ้าตัวอ้างว่า ทำไปเพราะรัก และต้องการช่วยเหลือจริงๆ พร้อมข่มขู่ไม่ให้นำเรื่องนี้ไปบอกใคร ให้รู้เพียงแค่สองคน และขู่ห้ามไม่ให้ตนมีใคร
และจากนั้นก็ได้ลงมือข่มขืนตนอีกหลายครั้ง จนทนไม่ไหวไปแจ้งความที่ สน.หัวหมาก อยู่หลายครั้ง แต่ตำรวจไม่รับแจ้งความ ระหว่างนั้นก็มีตำรวจชั้นผู้ใหญ่ยศนายพลอ้างว่าเป็นผู้บังคับการตำรวจนครบาล 4 ชื่อเล็ก พยายามโทรศัพท์มาขอไกล่เกลี่ยคดี แต่ตนเองไม่ยอมเพราะต้องการดำเนินคดีให้ถึงที่สุด จนกระทั่งผ่านไป 3 เดือน ถึงมีตำรวจในโรงพักยอมรับแจ้งความไปเมื่อวันที่ 7 มี.ค.ที่ผ่านมา แต่ยังไม่มีการตรวจที่เกิดเหตุแต่อย่างใด ตนเองต้องโทรศัพท์ไปตามให้ตำรวจ สน.หัวหมาก มาตรวจที่เกิดเหตุ เพราะจะทำความสะอาดห้องแล้ว ซึ่งตอนนั้นพนักงานสอบสวนก็เดินทางมาเก็บหลักฐาน ทั้งเส้นผม ขวดน้ำไปเมื่อวันที่ 16 มี.ค. ที่ผ่านมา
หลังจากนั้นก็บอกตำรวจสน.หัวหมากไปว่า จะไปร้องเรียนกองปราบฯ เพราะคดีไม่คืบหน้า ทำให้มีการส่งเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน(พฐ.)ในวันที่ 2 เม.ย.ที่ผ่านมา แต่เจ้าหน้าที่พฐ.ก็บอกว่า ไม่มีหลักฐานอะไรจะให้เก็บแล้ว อย่างไรก็ตามเรื่องราวที่เกิดขึ้นเกรงว่าจะไม่ได้รับความเป็นธรรม เพราะอีกฝ่ายเป็นนายทหารมียศสูง รวมทั้งกลัวว่าจะไม่รับความปลอดภัย อาจถูกอุ้มทำไปอันตรายได้ เนื่องจากหลังเกิดเรื่อง มีรถตู้ขับมาวนเวียนหน้าบ้านอยู่บ่อยครั้ง หนำซ้ำเคยนำเรื่องไปร้องเรียนที่กองทัพบก แต่ก็ไม่มีความคืบหน้าอะไร จึงตัดสินใจมาที่กองปราบปรามเพื่อขอให้โอนคดีมารับผิดชอบ
ด้าน พ.ต.ท.ภิรมย์ กล่าวว่า เบื้องต้นได้สอบปากคำผู้เสียหายไว้ ก่อนทำการลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐาน เพื่อประมวลเรื่องให้ผู้บังคับบัญชาพิจารณาสั่งการต่อไป อย่างไรก็ตามได้แนะนำผู้เสียหายไปยื่นเรื่องร้องต่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติอีกทางหนึ่ง เนื่องจากว่าการโอนสำนวนคดีนั้นจะต้องให้ระดับตร.เพื่อให้พิจารณาสั่งการเพิ่มเติมต่อไป