เมื่อวันที่ 5 เม.ย. ที่ห้องประชุมใหญ่ สํานักงานศาลยุติธรรมอาคารศาลอาญาชั้น 12 ถนนรัชดาภิเษก นายสราวุธ เบญจกุล เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม และนายสุริยันห์ หงษ์วิไล โฆษกศาลยุติธรรม ร่วมกันแถลงข่าวกรณีการก่อสร้างบ้านพักตุลาการบริเวณเชิงดอยสุเทพ จ.เชียงใหม่
นายสราวุธกล่าวว่า บ้านพักที่เชียงใหม่เป็นทรัพย์สินของทางราชการ ไม่ใช่เป็นบ้านพักส่วนบุคคล ขั้นตอนดำเนินการถูกต้องตามกฎหมาย ไม่ได้บุกรุกป่าสงวนแห่งชาติ ขั้นตอนการขออนุญาตได้ทำมาตั้งแต่เดิม โดยขออนุญาตใช้ที่ดินจากกรมธนารักษ์ และผ่านการเห็นชอบจากส่วนราชการที่เกี่ยวข้องทั้งหมดแล้ว กระทั่งเปิดการประมูล มีเอกชนเข้ามาเป็นคู่สัญญารวม 3 สัญญาด้วยกัน
สัญญาที่ 1 เป็นการก่อสร้างอาคารที่ทำการศาลอุทธรณ์ภาค 5 สัญญาที่ 2 และสัญญาที่ 3 ที่เหลืออยู่คืออาคารชุดและอาคารที่พักของข้าราชการในจังหวัดเชียงใหม่ที่ทำงานให้กับศาลยุติธรรม เพื่อให้ข้าราชการที่ย้ายมาทำงาน ที่จ.เชียงใหม่ได้เข้าพัก เมื่อครบวาระต้องย้ายก็ออกจากบ้านพักไป ในส่วนของสัญญาที่ 2 มีมูลค่าสัญญา 321 ล้านบาท ส่วนสัญญาที่ 3 มีมูลค่า 342 ล้านบาท โดยสัญญาจะเสร็จสิ้นในวันที่ 9 มิ.ย. 2561 กับวันที่ 18 มิ.ย. 2561 ตามลำดับ
นายสราวุธกล่าวต่อว่า พื้นที่ขออนุญาตไว้มี 147 ไร่ ใช้ที่พื้นที่ในการดำเนินการไป 89 ไร่ พื้นที่ป่าที่ไม่ได้ดำเนินการเลย 58 ไร่ การดำเนินการในปัจจุบันยังมีสัญญาที่ยังผูกพัน ในระหว่างการดำเนินงานนั้นไม่ได้ตัดต้นไม้ทำลายป่า แต่เป็นการขุดล้อมแล้วย้ายเพื่อปลูกในโครงการ จำนวนต้นไม้ที่ขุดย้ายในพื้นที่ ต้นไม้ที่มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 0.30 เมตรขึ้นไปมีต้นประดู่ 29 ต้น ต้นพลวง 86 ต้น ต้นสัก 4 ต้น ต้นกระบาก 77 ต้น และไม้เนื้ออ่อนอีก 44 ต้น
ทั้งนี้แผนระยะสั้นระยะที่ 1 จะไม่ตัดต้นไม้ ไม่ปรับพื้นที่ก่อสร้างเพิ่มเติม และจะดูแลรักษาสภาพพื้นที่ให้สมบูรณ์ โดยวันที่ 21 เม.ย.นี้ เป็นวันที่จะปลูกต้นไม้ตามแบบภูมิทัศน์ในสัญญา แบ่งเป็นไม้ยืนต้นปลูกต้นพะยูง 60 ต้น ต้นแคนาป่า 94 ต้น ต้นลีลาวดี 299 ต้น และต้นไม้ประเภทต่างๆ อีก 6,400 ต้น
นายสราวุธกล่าวประกอบแผนที่ทางอากาศว่า โครงการก่อสร้างนี้สร้างขึ้นในแนวระดับเดียวกับสิ่งปลูกสร้างอื่นๆในพื้นที่ดอยสุเทพตามแนวขอบตะเข็บเดียวกัน อันนี้คือข้อเท็จจริงที่ปรากฏแตกต่างจากการนำเสนอผ่านสื่อต่างๆ อาจจะเป็นการนำเสนอเฉพาะโครงการ
นายสราวุธกล่าวด้วยว่า สิ่งที่เกิดขึ้นตนไม่เคยปฏิเสธความรับผิดชอบ การก่อสร้างโครงการบ้านพักไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับศาลอุทธรณ์ภาค 5 แต่มีสำนักงานศาลยุติธรรมเป็นผู้รับผิดชอบ ที่ผ่านมาไม่ได้ตอบว่าจะทำถูกกฎหมายอย่างเดียว สิ่งที่ประชาชนให้ความห่วงใยก็พร้อมจะรับฟังและรับข้อเสนอแนะต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม และแผนที่จะดำเนินการต่างๆ ก็อาจจะทำให้ทุกอย่างดีขึ้น และทุกคนจะอยู่กับสิ่งแวดล้อมได้ ไม่ได้มีปัญหา เพราะเราไม่ได้เข้าไปทำลายสิ่งแวดล้อม แต่เราต้องการจะอยู่กับสิ่งแวดล้อมและรักษาสิ่งแวดล้อมไว้ แต่การดำเนินการต่างๆอาจจะไม่เป็นที่ถูกใจของทุกคน
นายสราวุธกล่าวอีกว่า การดำเนินการใดๆ ต้องกระทำตามกรอบข้อกฎหมายที่มีอยู่ ไม่อาจจะกระทำการใด เช่น ไปทุบทำลายทิ้งได้เองเพราะถือเป็นทรัพย์สินของทางราชการ ขั้นตอนต่อไปในวันที่ 9 เม.ย. เวลา 09.30 น. คณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรมจะมีการประชุมตนในฐานะเลขาฯ คณะกรรมการชุดดังกล่าวจะเสนอเรื่องนี้เข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรมว่ามีความเห็นอย่างไร แล้วจะนำเสนอนายกรัฐมนตรีทราบ ต่อไป จากนั้นจะแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน
นายสราวุธกล่าวอีกว่า ส่วนกรณีที่พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและรมว.กลาโหม จัดให้ประชุม 3 ฝ่ายในวันที่ 9 เม.ย. นี้ ยังไม่ได้แจ้งหนังสือมาถึงสำนักงานศาลยุติธรรม หากมีประชุมก็ยินดีเข้าร่วมเพื่อรับฟังข้อคิดเห็น แต่ต้องให้ประธานศาลฎีการับทราบด้วย
นายสราวุธกล่าวต่อว่า ทั้งนี้การก่อสร้างยังคงดำเนินการต่อไป โดยต้องรอการประชุมของคณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรมก่อนรวมถึงการหารือที่จะมีขึ้นในอนาคตด้วย ในฐานะที่ตนอยู่ภายใต้สัญญาก็จะต้องดำเนินการภายใต้สัญญา ไม่เช่นนั้นอาจจะผิดกฎหมายได้ ทั้งนี้การแถลงข่าวในวันนี้ก็เพื่อที่ให้ทราบถึงจุดยืนว่า สำนักงานศาลยุติธรรมพร้อมรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะของทุกฝ่ายที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม ส่วนสาเหตุที่เลือกทำเลดังกล่าว เพราะจำเป็นต้องหาพื้นที่จากที่ดินของราชพัสดุว่าตรงไหนที่อนุญาตให้ใช้ได้ โดยทำตามขั้นตอนทุกอย่าง และที่เลือกพื้นที่ดังกล่าวเข้าใจว่าเพราะอยู่ใกล้ที่ทำการของสำนักงานศาล
นายสุริยันห์ หงษ์วิไล โฆษกศาลยุติธรรมกล่าวว่า สำหรับโครงการดังกล่าวมีบ้านพักของผู้พิพากษาอยู่ 38 หลัง อาคารชุดของธุรการ 16 หน่วย และอาคารชุดจำนวน 36 หน่วยอีก 1 หลัง โดยมีทั้งหมด 3 สัญญาภายในบริเวณเดียวกัน อาคารที่ส่งมอบไปแล้วคืออาคารที่ทำการศาลอุทธรณ์ภาค 5
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และรมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ว่า เป็นเรื่องของประชาชนที่ไม่เห็นด้วยกับการก่อสร้าง ได้สั่งการให้หน่วยงานต่างๆ ทั้งศาลและทางจังหวัดเชียงใหม่ รวมถึงกองทัพภาคที่ 3 (ทภ.3) และมณฑลทหารบกที่ 33 (มทบ.33) ไปพูดคุยร่วมกันถึงรายละเอียดในเรื่องดังกล่าวในวันที่ 9 เม.ย.นี้ เพื่อให้พื้นที่ดังกล่าวประชาชนสามารถใช้ได้ และดัดแปลงเป็นพื้นที่ที่มีป่า ซึ่งอาจจะใช้เป็นพื้นที่พักผ่อนของประชาชน
เมื่อถามว่ามีแนวโน้มที่จะไม่ให้สร้างต่อ และให้ย้ายโครงการไปสร้างในพื้นที่อื่นใช่หรือไม่ พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า น่าจะเป็นแบบนั้น แต่คงไม่รื้อถอน อาจจะปรับเป็นพื้นที่ให้ประชาชนได้ใช้ประโยชน์ต่อไป พร้อมกันนี้ก็จะต้องปลูกต้นไม้ที่ถูกตัดไปให้กลับมาเป็นเหมือนเดิม สำหรับพื้นที่ดังกล่าวเป็นของราชพัสดุ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ถูกต้องตามกฎหมาย และทางราชพัสดุก็อนุญาตให้ศาลใช้ประโยชน์ในพื้นที่ ทุกอย่างถือว่าทำถูกต้อง ส่วนมวลชนที่จะเดินทางมายังทำเนียบรัฐบาล ขอร้องให้ยุติการเคลื่อนไหว
ด้านนางพิมพ์สุชา สมมิตรวศุตม์ เลขาธิการเครือข่ายขอคืนพื้นที่ป่าดอยสุเทพ เปิดเผย ว่า ได้รับหนังสือที่ลงนามโดยพล.ต.สาธิต ศรีสุวรรณ ผบ.มทบ.33 ให้ส่งตัวแทนร่วมประชุมพูดคุยหารือเจรจากับผู้แทนจากทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อหาทางออกของปัญหาร่วมกันในวันที่ 9 เม.ย. เวลา 09.30 น. ที่ห้องประชุมกองบัญชาการมณฑลทหารบกที่ 33 ค่ายกาวิละ โดยตัวแทนเครือข่ายฯ พร้อมที่จะเข้าร่วมประชุมหารือ โดยจุดยืนและข้อเรียกร้องยังคงยืนยันว่า ต้องยุติและยกเลิกโครงการ พร้อมทั้งรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไป แล้วฟื้นฟูสภาพป่าให้เหมือนเดิม ทั้งนี้การเรียกร้องมีเป้าหมายเฉพาะ โครงการก่อสร้างบ้านพักข้าราชการ 47 หลังเท่านั้น ไม่เกี่ยวข้องกับงอาคารสำนักงานศาลอุทธรณ์ภาค 5 และโครงการอื่นๆ ของหน่วยงานต่างๆ ที่อยู่ในพื้นที่ใกล้เคียง
นางพิมพ์สุชากล่าวต่อว่า ส่วนการรณรงค์ยังคงทำอย่างต่อเนื่อง ด้วยการเชิญชวนให้ชาวเชียงใหม่และประชาชนทั่วไปร่วมกันผูกริบบิ้นหรือผ้าสีเขียวที่ข้อมือ, ติดรถ หรือบ้านเรือน เพื่อแสดงออกถึงข้อเรียกร้อง รวมทั้งถ่ายภาพโพสต์ลงในโซเชี่ยลมีเดีย ซึ่งพบว่าขณะนี้มีผู้ร่วมแสดงออกเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ในวันที่ 8 เม.ย. จะมีกิจกรรมทำบุญบวชป่าบริเวณโครงการดังกล่าวเพื่อสืบสานจารีตประเพณีและเป็นการแสดงออกถึงข้อเรียกร้องด้วย
ที่บริเวณสวนสาธารณะห้าแยกหอนาฬิกา เทศบาลนครลำปาง อ.เมือง จ.ลำปาง นายกฤตย์ เยี่ยมเมธา นายดิเรก จัทรดิลก และ นายสรุท ศรีถาวร กลุ่มภาคประชาชนในฐานะเครือข่ายขอคืนป่าดอยสุเทพ ซึ่งได้เดินเท้าออกมาจาก จ.เชียงใหม่ เพื่อไปยื่นหนังสือคัดค้านที่ทำเนียบร่วมกันแถลงยุติการทำกิจกรรมเดินเท้า
โดยนายกฤตย์กล่าวว่า ขณะนี้ตนเองและทีมงานได้รับการประสานจากฝ่ายความมั่นคงหลายหน่วยงานว่า การทำกิจกรรมครั้งนี้มีกลุ่มที่ไม่หวังดีกับรัฐบาล และกลุ่มหวังผลทางการเมือง อาศัยการทำกิจกรรมครั้งนี้ออกมาปั่นป่วน จึงเป็นห่วงทางเครือข่ายฯและประชาชนชาว จ.เชียงใหม่ จะตกเป็นเครื่องมือของมือที่สาม หลังหารือมีความเห็นตรงกันว่า จะขอหยุดกิจกรรมการเดินเท้าครั้งนี้ออกไปชั่วคราวก่อน หลังจากนี้จะเดินทางกลับไปที่ จ.เชียงใหม่ เพื่อร่วมกิจกรรมบวชป่าขอขมาดอยสุเทพ ในวันที่ 8 เม.ย. และวันที่ 9 เม.ย. จะประชุมปรึกษาหารือกับทุกภาคส่วนที่รัฐบาลจัดขึ้น หากประชุมแล้ว เห็นควรที่จะมอบหนังสือต่อนายกฯ ก็จะออกเดินเท้าใหม่ โดยครั้งนี้หยุดที่จ.ลำปาง ครั้งหน้าก็จะต้องมาเริ่มเดินที่ จ.ลำปาง และจะมีคนเข้าร่วมเดินเท้ามากกว่าครั้งนี้อย่างแน่นอน