อย่างไรก็ตามเรื่องการทุบรถ ที่หลายคนสงสัยว่า เป็นการสร้างสถานการณ์นั้น ตนก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่แม่ค้าพูดกันว่าเหมือนการสร้างภาพ โดยเฉพาะหลังเกิดเรื่อง คนที่โดนทุบรถยังมีหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส ไม่ต่อเถียงอะไร เรื่องคดีทุบรถก็ไม่ข่าวแถลง มีแต่เรื่องประเด็นตลาดมากกว่า เพราะก่อนหน้านี้ ก็เคยมีเรื่องแบบนี้ แต่แค่โดนด่าหยาบสารพัด หรือล่าสุด เคยมีผู้หญิงคนหนึ่งถูกพลั่วฟาดรถ แต่ผู้หญิงคนนั้นรีบขอโทษ แล้วขับรถออกไป แต่เหตุการณ์ครั้งนี้รุนแรงมากจนกลายเป็นข่าวขึ้นมา
ต่อมาทางด้าน นายสุวิจักขณ์ ทองสนิท เจ้าของผู้ทำแอพพลิเคชัน s.o.s Thailand ได้เดินทางมาที่หน้าบ้านของป้าบุญศรี เปิดเผยว่า ตนเห็นข่าวก็เข้าใจทั้ง 2 ฝ่าย เพราะตนเองก็เคยไปจอดรถขวางหน้าบ้านคนอื่น และเคยโดนคนอื่นจอดขวางหน้าบ้านเช่นกัน จึงเป็นโอกาสที่ดี เป็นจุดเริ่มต้นที่จะให้สังคมกลับมาเห็นใจ นึกถึงความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กัน
ทั้งนี้ ค่าเสียหายทั้งหมดในการซ่อมรถนั้น ตนเองขอเป็นผู้รับผิดชอบแทน เพื่อให้คู่กรณีทั้ง 2 ฝ่าย จบกันด้วยดี และถือเป็นจุดเริ่มต้นในการตระหนักถึงการไม่ละเมิดสิทธิผู้อื่น และการรักษาสิทธิของตัวเอง
ต่อมาทีมข่าวได้ลงพื้นที่ สอบถามผู้ขี่จักรยานยนต์รับจ้าง ที่อยู่บริเวณตลาดทั้ง 5 แห่ง ใกล้กับบ้านของป้าบุญศรี โดยนายอภัย ใหญ่กระโทก ผู้ขี่รถจักรยานยนต์รับจ้าง เปิดเผยว่า ตนขี่รถจักรยานยนต์รับจ้างมาหลายปีแล้ว ทั้งช่วงเช้าและเย็น เป็นอาชีพเสริม โดยจะรับ-ส่ง ผู้ที่มาออกกำลังกายที่สวนหลวง ร.9 และผู้ที่มาเดินตลาดบริเวณนี้ โดยมีรายได้ในช่วงวันจันทร์ถึงศุกร์อยู่ที่ 600-700 บาท และวันเสาร์-อาทิตย์ ที่มีการเปิดตลาดทั้ง 5 แห่ง จะได้รายได้มากกว่า 1,000 บาท
หากต้องปิดตลาด ตนมีผลกระทบแน่นอน เพราะต้องผ่อนบ้าน ต้องส่งลูกเรียน บางครั้งเงินยังไม่พอใช้จ่าย และหากปิดตลาดไป รายได้ก็ลดลงมากกว่าครึ่ง จากที่เคยได้ 600-700 บาท คงเหลือไม่ถึง 300 บาท จึงต้องหารายได้จากอาชีพอื่นทำ แต่ก็ยังไม่ได้คิดไว้ว่าจะไปทำอะไร ส่วนตัวตนก็ยังอยากให้มีตลาดอยู่ แต่อยากให้จัดระเบียบให้เรียบร้อยมากขึ้น โดยให้มีทางเท้าไว้เดินมากขึ้น พร้อมยอมรับว่าเห็นใจคุณป้าบุญศรี เพราะเสาร์-อาทิตย์ มีรถเป็นจำนวนมาก คนเข้าออกลำบาก