นางรุ่งทิพย์ บอกว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 16 ม.ค.ที่ผ่านมา ขณะเตรียมตัวที่จะออกไปจำหน่ายสินค้าตามปกติ อยู่ๆได้มีโทรศัพท์หมายเลข 032-226237 โทรเข้ามาที่โทรศัพท์มือถือของตนเอง โดยปลายสายบอกว่าเป็นเจ้าหน้าที่ไปรษณีย์ ที่ จ.ประจวบคีรีขันธ์ บอกว่ามีพัสดุตกค้างเป็นชื่อตนเองเบอร์โทรตนเอง แต่ที่อยู่ไม่ใช่ของตนเองเป็นที่อยู่ บ้านเลขที่ 334 ถ.พิทักษ์ชาติ ต.อ่าวน้อย จ.ประจวบคีรีขันธ์ 77000 จึงยืนยันไปว่าไม่ใช่ ชายคนดังกล่าวจึงโอนสายไปให้เจ้าหน้าที่ไปรษณีย์อีกคน
"เมื่อรับสายต่อไปเจ้าหน้าที่อีกคนก็สอบถามข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับพัสดุว่าได้สั่งหรือมีใครส่งอะไรมาให้หรือไม่ ซึ่งก็ปฏิเสธตลอดและขณะนั้นได้มีการจดบันทึกข้อมูลลงในสมุดบันทึกด้วย โดยในระหว่างการสนทนาเจ้าหน้าที่ไปรษณีย์คนที่ 2 ยังบอกอีกว่าตัวเองนั้นถูกเอาชื่อไปแอบอ้าง ให้ไปลงบันทึกประจำวันที่ สภ.ประจวบคีรีขันธ์ เพราะข้างในพัสดุพบว่ามีบัตรเอทีเอ็ม 30 ใบ สมุดบัญชี 30 เล่ม และเงินสด 2,300,000 บาท สะดวกเดินทางมาที่ จ.ประจวบคีรีขันธ์หรือไม่ ด้วยการที่ต้องทำมาหากินจึงตอบไปว่าไม่สะดวก บุคคลที่อ้างเป็นเจ้าหน้าที่ไปรษณีย์คนที่ 2 จึงโอนสายไปให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ สังกัด สภ.เมืองประจวบคีรีขันธ์"
นายรุ่งทิพย์ กล่าวต่ออีกว่า พอรับสาย เจ้าหน้าที่จึงแนะนำตนเองว่าชื่อ พล.ต.ท.พัฒนา เทพศยนาวิน ประจำ สภ.ประจวบคีรีขันธ์ จึงสอบถามข้อมูล โดยระบุว่ากล่องพัสดุดังกล่าวนั้นคือนางวันเพ็ญ ยอดดี ชาวกรุงเทพฯ แต่ถูกจับแล้วเนื่องจากเกี่ยวข้องกับยาเสพติด โดยระหว่างการสนทนาบุคคลที่อ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจกำชับว่าอย่าบอกเรื่องนี้กับใครให้อยู่คนเดียวจะได้คุยเรื่องนี้ได้สะดวก ด้วยความกลัว ความบริสุทธิ์ใจ และปลายสายที่คุยกันนั้นมีเสียงสภาพแวสดล้อมคล้ายกับสนทนากับเจ้าหน้าที่ตำรวจจริง จึงให้ข้อมูลไปทั้งหมด ทั้งเลขบัตรประจำตัวประชาชน บัตรเอทีเอ็ม สมุดบัญชีเงินฝาก และที่สำคัญก่อนที่จะบอกถึงสมุดบัญชีธนาคารต่างๆไปนั้น บุคคลที่อ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจยังบอกว่า หากไม่ให้ความร่วมมือ ในวันพรุ่งนี้ จะมี พล.ต.ท.บุญเลิศ ใจประดิษฐ อดีต ผบช.ภ.4 ไปตรวจสอบที่บ้านด้วย และยังคงระบุว่าพฤติกรรมดังกล่าวนี้คล้ายกับการมีส่วนพัวพันในคดี "เบนซ์ เรชซิ่ง" ที่ภรรยาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องก็ต้องเข้าพบเจ้าหน้าที่ตำรวจ ด้วยความกลัว จึงยอมทำตามตามที่บุคคลดังกล่าวงแอบอ้าง
"เมื่อคุยกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์จบแล้วได้โทรศัพท์หาลูกสาวแล้วเล่าให้ลูกสาวฟังว่ามีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น ลูกสาวจึงบอกว่าถูกหลอกแล้วให้รีบอายัดบัญชีกับทางธนาคาร ซึ่งโดยส่วนตัวก็ยังเชื่อว่าเป็นเรื่องจริงจึงโต้เถียงกับลูกสักพัก ก่อนรีบโทรศัพท์ไปยังสายด่วนของธนาคารไทยพาณิชย์ เพื่ออายัดบัตรและตรวจสอบยอดเงิน ซึ่งก็พบว่าบัญชีธนาคารที่มีอยู่นั้นถูกคนร้ายโอนออกไปผ่านทางแอพพลิเคชั่นมือถือ จำนวน 3 ครั้ง ครั้งแรก 10,000 บาท ครั้งที่ 2 จำนวน 50,000 และครั้งที่ 3 จำนวน 39,500 บาท ไปยังบัญชีไทยพาณิชย์สาขาคลองแงะ จ.สงขลา ชื่อนายมาหะมะ คามิ โดยเหลือเงินสุทธิในบัญชีให้ดูต่างหน้าเพียง 37 บาทเท่านั้น จึงนำเอาเอกสารหลักฐานทั้งหมดเข้าแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อให้เร่งติดตามตัวคนร้ายพร้อมทั้งขอเตือนประชาชนในพฤติกรรมดังกล่าวที่เข้ามาอาละวาทในพื้นที่ จ.ขอนแก่น แล้วในขณะนี้"
พ.ต.ท.นรวัตน์ คำภิโล รอง ผกก.(สส.) สภ.เมืองขอนแก่น กล่าวว่า เรื่องดังกล่าวนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ เป็นเรื่องที่มีผู้เสียหายเข้ามาแจ้งความเป็นจำนวนมาก มากน้อยแตกต่างกันไป โดยพฤติกรรมก็มีลักษณะเหมือนกัน แอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่เข้ามาหลอกถามข้อมูลไป แล้วก็นำไปทำธุรกรรมผ่านแอพพลิเคชั่นทางมือถือโอนเงินเข้าบัญชีตัวเองกดเงินออกไป อย่างไรก็ตามขอฝากเตือนประชาชนอย่าหลงเชื่อ หากมีใครมาหลอกเอาข้อมูลแบบนี้ไม่ต้องกลัวเพราะทางเจ้าหน้าที่ไม่มีการสอบถามเอาข้อมูลสำคัญอย่างแน่นอน ทั้งนี้ในกรณีดังกล่าวเจ้าหน้าที่ตำรวจจะเร่งสืบสวนสอบสวนจับกุมตัวคนร้ายมาดำเนินคดีตามกฎหมาย