รองโฆษก ตร. กล่าวว่า ตามที่ผู้เสียหายอ้างว่าเดินทางมาแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนแล้ว แต่พนักงานสอบสวน สน.หนองแขม ไม่ดำเนินคดีนั้น ขอยืนยันว่าพนักงานสอบสวนได้รับคำร้องทุกข์ตั้งแต่วันแรกแล้ว โดยพนักงานสอบสวนได้อธิบายขั้นตอนวิธีการให้ผู้เสียหายเข้าใจ ซึ่งต่อมาผู้เสียหายได้มาลงประจำวันที่ สน.หนองแขม ว่าเป็นการเข้าใจผิดและโพสต์ข้อความกล่าวขอโทษพนักงานสอบสวนแล้ว สำหรับคดีนี้พนักงานสอบสวนไม่ได้นิ่งนอนใจได้ออกหมายเรียกผู้ต้องหาให้มามอบตัวซึ่งขณะนี้รู้ตัวแล้ว หากผู้ต้องหาไม่มาเข้าพบหรือไม่เข้ามามอบตัว พนักงานสอบสวนจะรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อขออำนาจศาลออกหมายจับผู้ต้องมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป ส่วนตัวผู้เสียหายนั้นพนักงานสอบสวนได้สอบปากคำและส่งตัวผู้เสียหายไปตรวจร่างกายเพื่อตรวจหาร่องรอยการถูกข่มขืนกระทำชำเราที่โรงพยาบาลเป็นที่เรียบร้อยแล้วเพื่อนำมาเป็นหลักฐานในการดำเนินคดีกับผู้ต้องหาต่อไป
ในคดีนี้เป็นความผิดในข้อหา"ข่มขืนกระทำชำเราผู้อื่นโดยขู่เข็ญด้วยประการใดๆ โดยใช้กำลังประทุษร้าย โดยผู้อื่นนั้นอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ หรือโดยทำให้ผู้อื่นเข้าใจผิดว่าตนเป็นบุคคลอื่นและพาผู้อื่นไปเพื่อการอนาจารโดยใช้อุบาย หลอกลวง ขู่เข็ญ ใช้กำลังประทุษร้าย ใช้อำนาจครอบงำผิดคลองธรรม หรือใช้วิธีข่มขืนใจด้วยประการอื่นใด และหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังผู้อื่นหรือกระทำด้วยประการใดให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกาย" ซึ่งมีอัตราโทษจำคุกตั้งแต่ 4-20 ปีและปรับตั้งแต่ 8,000-40,000 บาท
รองโฆษก ตร. กล่าวต่ออีกว่า พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. มีนโยบายให้พนักงานสอบสวนทำงานด้วยความรวดเร็ว โปร่งใส่ เป็นธรรมกับฝ่ายผู้เสียหายและฝ่ายผู้ต้องหา สามารถตรวจสอบได้ และการดำเนินคดีนั้นต้องอาศัยพยานหลักฐานเป็นสำคัญ ผู้บังคับบัญชาไม่สามารถเข้าไปยุ่งเกี่ยวหรือเข้าไปแทรกแซงการทำงานของพนักงานสอบสวนไม่ได้อยู่แล้วซึ่งสอดคล้องกับการปฏิรูปตำรวจในยุคปัจุบัน เพื่อให้ประชาชนมีความเชื่อมั่นและมั่นใจในการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ และให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชนให้มากที่สุดต่อไป