เดิมเด็กหญิงสุขภาพดีจนกระทั่งทรุดลงหลังคันที่ตาชั่วเวลาเพียง 6 สัปดาห์ที่ผ่านมาจนมีขนาดตาเท่าที่เห็น ครอบครัวฐานะยากจนเกินไปที่จะรับการรักษา ทำได้เพียงให้ยาชาเด็กหญิงเท่านั้น จนปัจจุบันหน่วยงานการกุศลยื่นมือเข้าช่วยเหลือ แต่เงินรักษายังคงไม่พอ เด็กหญิงเริ่มได้รับเคมีบำบัดแต่โอกาสรอดเพียงร้อยละ 10 เท่านั้น
จู่ๆ เด็กหญิงทรมาน คันที่ตาเมื่อเดือนพ.ย.พาเด็กหญิงไปหาหมอท้องถิ่นหลายคน แต่มีเครื่องไม้เครื่องมือพื้นฐานเท่านั้น ให้ยาแก้ปวด พาราเซตามอล ยาแก้แพ้และให้เด็กหญิงกลับบ้าน
เด็กหญิงและครอบครัวอาศัยอยู่ในหมู่บ้านชนบทเล็กๆ ในรัฐตรีปุระ ทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศอินเดีย พ่อแม่ไม่มีเงินพอจ่ายค่าหมอที่เชี่ยวชาญเฉพาะทาง
นายธันยา คูมาร์ ตรีปุระ พ่อ อายุ 45 ปี ทำงานเป็นแรงงานรับจ้างรายวัน มีรายได้ราว 1000 รูปีต่อเดือนหรือราว 438 บาท ส่วนแม่ อายุ 40 ปี อยู่ที่บ้านเพื่อดูแลลูก 4 คน
นายธันยากล่าวว่า อาการของลูกทำให้ผมน้ำตาไหล ผมไม่สามารถ ไม่แม้กระทั่งมองที่ตาลูกสาวและพูดคุยกับลูกได้อีกต่อไป ตาของลูกดูน่ากลัว
ตนได้นำลูกไปรักษาที่นครอการ์ทาลา ในตัวเมืองรัฐตรีปุระ แต่มีทุนรักษาน้อยจึงขอความช่วยเหลือเพิ่ม หลังแพทย์วินิจฉัย ได้ส่งตัวเด็กหญิงไปสถาบันมะเร็งในเมืองกูวาฮาติ เมืองที่ใหญ่ที่สุดในรัฐอัสสัม ห่างจากที่รักษาเดิมราว 550 ก.ม.
ดร.มูนิลิมา ฮาซาริกา แพทย์รักษาด้านเนื้องอก กล่าวว่า อาการของเด็กหญิงยังวิกฤต เราเริ่มให้เคมีบำบัดสองสามวันก่อน แต่โอกาสรอดเพียงร้อยละ 10 ต้องการเลือดจากผู้บริจาคอย่างน้อย 30 คน เพื่อให้การรักษาดำเนินต่อไปได้ เพราะคาดว่าผู้ป่วยจะมีเกล็ดเลือดและเม็ดเลือดแดงต่ำได้อีก เข้าขั้นเสี่ยง
ระหว่างป่วยอยู่กว่า 45 วันเด็กหญิงน้ำหนักลดไปราว 10 ก.ก. จากเดิมหนักราว 25 ก.ก. จนปัจจุบันหนัก 14 ก.ก.
นายธันยาขอร้องให้ช่วยลูกสาว บอกว่าตนไม่ได้เรียนมาเลย ฐานะยากจนมาก ไม่สามารถส่งลูกๆไปโรงเรียนได้
"ไม่ค่ารักษาแต่ก็มีคนจำนวนหนึ่งอาสาช่วยลูก ผมเป็นหนี้ชีวิตพวกเขาเหล่านั้น" นายธันยากล่าว