จากนั้นในวันที่ 29 ต.ค.60 ที่ผ่านมา สำนักพระราชวัง ได้มอบหมายให้หน่วยงาน นำสิ่งของพระราชทานมอบให้แก่ลุงเฉื่อย โดยลุงเฉื่อยรู้สึกปลาบปลื้มปิติเป็นอย่างยิ่ง ก่อนถวายคำนับและก้มลงกราบพระบรมฉายาลักษณ์ในหลวง ร.9 และสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร
เผยชีวิตลุงเฉื่อย เปลี่ยนไป! สำนักพระราชวังนำเสื้อผ้า-สิ่งของพระราชทานให้
ส่วนทางด้านพระครูปิยะธรรมาพร เจ้าอาวาสวัดโพธิ์รินทร์วิเวก ที่ปรึกษาเจ้าคณะอำเภอเขวาสินรินทร์ ได้พูดถึงเรื่องราวของลุงเฉื่อยว่า สมัยหนุ่มนายเฉื่อยไม่ได้ทำอะไร ผู้ใหญ่บ้านโชคก็เลยให้ไปเป็นควาญช้าง คอยดูแลช้าง และเลี้ยงช้าง เดินทางไปทั่วประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็น ที่ จ.ภูเก็ตบ้าง จ.เชียงใหม่ บ้าง
พอเบื่อจากการเลี้ยงช้าง ก็มาขออาศัยอยู่ที่วัด อาตมาก็เลยตั้งให้เป็นบุคคลสาธารณะของประชาชน ไม่ว่างานอะไรก็ใช้ได้ทั่วประเทศ เป็นสัปเหร่อด้วย เป็นคนใช้ได้ ไม่เคยมีครอบครัว กิจวัตรประจำวันคือดูแลทำความสะอาดเมรุวัดโพธ์รินทร์วิเวก ช่วยงานวัดทุกอย่าง แล้วแต่พระเณรจะเรียกใช้ ปัจจุบันอาศัยหลับนอนเป็นประจำอยู่ที่ชั้นสองศาลาการเปรียญวัดโพธ์รินทร์วิเวกแห่งนี้
ส่วนลุงเฉื่อย หรือนายเฉื่อย พโยมแจ่ม กล่าวว่า ตนเกิดเมื่อ พ.ศ.2500 มีพี่น้องร่วมสายโลหิต 5 คน เป็นคนบ้านโชค ต.เขวาสินรินทร์ อ.เขวาสินรินทร์ จ.สุรินทร์ สถานภาพโสด ไม่เคยมีครอบครัว บริสุทธิ์ผุดผ่อง แต่มีสาวชอบมาจีบ แต่ไม่เคยสนใจ
ทั้งนี้ ลุงเฉื่อยยังบอกอีกว่า ตนไม่เคยเข้าเฝ้าในหลวง รัชกาลที่ 9 เคยเห็นแต่ในโทรทัศน์ และหนังสือพิมพ์ พระองค์ทรงเสด็จไปทั่วประเทศไทย เพื่อช่วยเหลือ และสอนปรัชญาเศรษฐ์กิจพอเพียง ให้พสกนิกรของพระองค์ ตนรู้สึกดีใจที่ได้เกิดในรัชกาลของพระองค์
และตระหนักในใจตนเองว่า พระองค์ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจมหาศาล เป็นคุณอเนกอนันต์ มาอย่างต่อเนื่องตลอด 70 ปี ที่ทรงครองราชย์ ตราบสิ้นพระชนม์ ไม่ใช่เหตุการณ์ที่ต้องมานั่งรำลึกนึกย้อนไปนานๆ แต่เราได้เห็นด้วยตา ยังแจ่มชัด ประทับแน่นในใจ และสำนึกในพระคุณมากล้นเหลือคณานับ ขอน้อมศิระกราน กราบแทบพระยุคลบาท ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นหาที่สุดมิได้