แฉ!! พ่อแม่น้ำมนต์ ใส่ชุดราชการ-ใส่ทองเต็มตัว หลอกเอาเงินเหยื่อ อ้างฝากทำงานในอบต.?
หลังจากนั้นไม่ถึงสัปดาห์ เพื่อนตนที่ถูกน.ส.จริยาภรณ์เข้าทำงานด้วยก็ได้โทรศัพท์มานัดตนให้ไปหาน.ส.จริยาภรณ์เป็นเพื่อน เพื่อจะให้เงินแก่น.ส.จริยาภรณ์จำนวน 7 หมื่นบาท เมื่อไปถึงตนก็เห็นว่าน.ส.จริยาภรณ์อยู่กับพ่อแม่ และทุกคนก็สวมเสื้อและเครื่องแบบราชการ จึงสร้างความเชื่อมั่นให้กับตัวเองว่าไม่ถูกหลอกแน่ เมื่อเพื่อนตนให้เงินเสร็จ ตนก็บอกน.ส.จริยาภรณ์ว่าตนยังไม่มีเงินแล้วจะทำการโอนเงินให้ภายหลัง แล้วจึงทำการแยกย้าย
พอผ่านไปได้ 2-3 วัน น.ส.จริยาภรณ์ก็ได้โทรศัพท์มาหาตนให้นัดเจอกันเพื่อที่จะให้ตนนำสำเนาเอกสารบัตรประชาชน ทะเบียนบ้าน สำเนาวุฒิ ที่จำเป็นต้องใช้ในการสมัครงานมามอบให้ แต่ตนก็ยังไม่ได้ให้เงินอีก เพราะแม่ตนยังหากู้เงินไม่ได้ จนมาอีกครั้ง น.ส.จริยาภรณ์ ก็ได้ทำการโทรนัดตนให้มาเจอที่อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย แต่ครั้งนั้นเป็นการนัดเจอกันเพื่อที่จะมอบเงิน แต่ตนก็ยังยืนยันกับน.ส.จริยาภรณ์คำเดิมว่าไม่มีเงินจะให้ เจ๊พรเลยบอกว่าให้ตนรีบหามา เดี๋ยวจำทองให้ก่อน หลังจากนั้นแม่ตนก็ไปกู้ยืมคนอื่นมาเป็นเงินจำนวน 100,000 บาท แล้วก็ทำการโอนเงินเข้าบัญชีโดยชื่อบัญชีว่า น.ส.จริยาภรณ์ สีโต ก่อนที่ น.ส.จริยาภรณ์บอกอีกว่าให้โอนมาเพิ่มอีก 30,000 บาท ซึ่งตนก็โอนเงินไปให้ โดยเงินก็ขอพ่อมา
ภายหลังเพื่อนตนได้โทรศัพท์มาบอกว่า คิดว่าน่าจะถูกน.ส.จริยาภรณ์หลอก เพราะเริ่มจับพิรุธได้ก็เลยตัดสินใจไปแจ้งความที่สถานีตำรวจ และนางสาวจริยาภรณ์ก็ถูกจับกุมตัว ภายหลังได้มีคนเข้ามาประกันตัวซึ่งตนก็ไม่ทราบว่าใครเป็นผู้ประกันตัวออกไป ซึ่ง น.ส.สุกัญญา ได้กล่าวทิ้งท้ายว่า ที่เธอเชื่อน.ส.จริยาภรณ์เพราะเป็นคนพูดจาดี ดูน่าเชื่อถือ ซึ่งที่ตนออกมาพูดวันนี้เพราะไม่เชื่อว่าพ่อแม่ของน.ส.จริยาภรณ์ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง เนื่องจากเวลามีการมอบเงินให้น.ส.จริยาภรณ์พ่อแม่ก็จะเดินทางมาด้วย และคิดว่าพ่อแม่รู้ว่าลูกทำพฤติกรรมเช่นนี้
สุดท้ายนี้ ตนอยากบอกกับน.ส.จริยาภรณ์ว่า อย่าทำให้คนอื่นเดือดร้อนเลย ซึ่งน.ส.จริยาภรณ์มีวาทะศิลป์ที่ดี แต่กลับใช้ในทางที่ผิด แล้วทำให้คนอื่นเดือดร้อนอีกด้วย
ขณะที่ นางสาวอาภาภรณ์ ทองปั้น ผู้เสียหายที่ถูกน.ส.จริยาภรณ์ แอบอ้างว่าสามารถพาเข้าทำงานที่องค์การบริหารส่วนตำบลแห่งหนึ่งในจังหวัดเลย ในตำแหน่งพนักงานชั่วคราว สัญญาจ้าง 1 ปีได้ แต่ต้องเสียค่าทำสัญญา 1 แสนบาท แต่เมื่อจ่ายเงินครบตามจำนวน กลับไม่สามารถติดต่อนางสาวน้ำมนต์ได้ จึงไปแจ้งความที่สภ.นาแห้ว ก่อนที่จะถึงศาลและไกล่เกลี่ย คราวนั้นนางสาวน้ำมนต์ของใช้เงินคืนเดือนละ 3,000 บาท แต่เมื่อใช้เงินคืนได้เพียง 3 เดือนก็หายไปไม่สามารถติดต่อได้ จนมาพบอีกครั้งว่าเที่ยวไปหลอกคนทั่วไปมีผู้เสียหายนับสิบราย
น.ส.อาภาภรณ์ บอกด้วยว่า จากที่เคยพบนางสาวน้ำมนต์ และครอบครัวดูมีฐานะ น่าเชื่อถือ ทำให้มั่นใจว่าจะสามารถฝากเข้าทำงานได้จริง แต่เมื่อรู้ว่าถูกหลอกก็เสียใจเพราะเงินแสนบาทที่ยืมมายังต้องใช้ดอกเบี้ย แต่เมื่อรู้ว่าน.ส.น้ำมนต์ถูกจับก็ดีใจ และยังหวังว่าจะได้เงินคืนบ้าง เพราะต้องการไปใช้หนี้ที่หยิบยืมมา
ส่วนกรณีที่พ่อแม่ของนางสาวจริยาภรณ์ อ้างว่าไม่เกี่ยวข้อง มองว่า ตามปกติวิญญูชนไม่มีใครยอมรับหากไม่จำนนด้วยหลักฐาน แต่หากคนทั่วไปเห็นภาพแต่งงานซ้ำๆ จะเชื่อหรือไม่เป็นดุลยพินิจของพนักงานสอบสวนและประชาชนว่าจะเชื่อถืออย่างไร
Cr.AMARIN TVHD