พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท่านเป็นพระโพธิสัตว์!!
ครูบาอาจารย์ท่านบอกว่า "พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท่านเป็นพระโพธิสัตว์ที่ปรารถนาพุทธภูมิ"!!
จริงหรือไม่จริง... ด้วยภูมิจิตภูมิธรรมของคนทั่วไปยังไม่อาจทราบได้ แต่เมื่อพิจารณาจากพระราชจริยาวัตรของพระองค์ท่านแล้วทำให้เชื่อได้ว่า คำกล่าวของครูบาอาจารย์นั้นน่าจะเป็นความจริง เพราะพระราชจริยาวัตรทั้งหลายดำเนินไปตาม "ทศบารมี" (บารมี ๑๐ ประการ) ดังนี้
๑. ทานบารมี
ด้วยการพระราชทานกำเนิดมูลนิธิราชประชานุเคราะห์เพื่อสงเคราะห์ช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัยที่เกิดขึ้นทั่วประเทศ สงเคราะห์ด้านการศึกษาและป้องกันสาธารณภัยที่เกิดขึ้นทั่วประเทศ รวมทั้งให้การสงเคราะห์ช่วยเหลือเป็นส่วนรวมแก่ประชาชนที่ได้รับความทุกข์ยากเดือดร้อนประการอื่นอีกด้วย
๒. ศีลบารมี
หมายถึงการที่พระองค์ท่านมีพระราชจริยาวัตรที่พิเศษอีกประการหนึ่งซึ่งคนทั่วไปทำได้ยาก คือ ในคืนวันอุโบสถนั้น พระองค์จะทรงรักษาอุโบสถศีลอย่างเคร่งครัด
๓. เนกขัมมบารมี
หมายถึงการออกบวชหรือความปลีกตัวปลีกใจจากกาม ในข้อนี้พระองค์ท่านไม่ได้ออกบวชทางกาย (เพียงเคยทรงผนวชระยะสั้น) แต่สำหรับการบวชทางใจที่เป็นการปลีกตัวปลีกใจทางกามในช่วงอุโบสถศีลย่อมถือเป็นบารมีข้อนี้เช่นกัน ครูบาอาจารย์องค์หนึ่งคือหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ ท่านได้กล่าวเกี่ยวกับการบวชใจไว้อย่างนี้
๔. ปัญญาบารมี
พระบารมีข้อนี้เห็นได้ชัดเจนมากจากพระราชดำริในเรื่องต่าง ๆ เช่น โครงการพระราชดำริ มูลนิธิชัยพัฒนา รวมทั้งพระอัจฉริยภาพในเกือบทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านการสื่อสาร ด้านกีฬา ด้านดนตรี ด้านจิตรกรรม หรือแม้แต่ด้านโหราศาสตร์ก็ตาม และยังรวมไปถึงพระราชปฏิภาณไหวพริบที่น่าอัศจรรย์
๕. วิริยบารมี
บารมีนี้เห็นได้เด่นชัดจากพระราชจริยาวัตรของการออกไปช่วยเหลือแก้ไขทุกข์ร้อนของพสกนิกรที่ทรงทำอย่างต่อเนื่องยาวนาน และยังมิทรงหยุดหย่อนจนถึงทุกวันนี้ ดังเช่น พระราชนิพนธ์ "พระมหาชนก" หรือแม้ในด้านพระศาสนา พระองค์ทรงทำสมาธิ เจริญสติทุกวัน และทรงอุโบสถศีลทุกวันอุโบสถ เหล่านี้ล้วนเป็นพระวิริยบารมี
๖. ขันติบารมี
คือ ความอดทน ข่มกายและใจต่อความลำบากทั้งพระวรกายและพระทัย ในการช่วยเหลือประชาชนของพระองค์ท่าน แม้จะเป็นที่ทุรกันดารห่างไกล ข้ามน้ำ ข้ามภูเขา ก็มิได้เป็นอุปสรรคต่อพระองค์ ในฐานะของความเป็นมนุษย์ผู้หนึ่งและสามารถปฏิบัติภารกิจที่ยิ่งใหญ่ยาวนานได้ขนาดนี้ ถ้าขาดซึ่ง "ขันติบารมี" แล้ว ยากที่จะทรงงานมาได้จนตราบเท่าทุกวันนี้
คำว่า "ป่วยไข้" แบบธรรมดาอาจจะเป็นคำต้องห้ามสำหรับพระองค์ท่าน ถ้าไม่หนักหนาสาหัสถึงขนาดต้องทรงเข้าโรงพยาบาลแล้ว พระองค์ท่านยังทรงปฏิบัติพระราชภารกิจทั้งหลายทั้งปวงมิว่างเว้น แม้แต่งานที่ดูไม่น่าจะสำคัญ แต่สำคัญสำหรับกำลังใจของผู้รับ อย่างเช่น การพระราชทานกระบี่หรือปริญญาบัตร พระองค์ท่านก็ยังทรงปฏิบัติอย่างสงบ ไม่ทรงแสดงถึงความเบื่อหน่ายหรือเมื่อยล้าให้เห็นเลย นับเป็นตัวอย่างของขันติบารมีที่น่าบูชายิ่ง
๗. สัจจบารมี
นับแต่ทรงมีพระปฐมบรมราชโองการเมื่อวันที่ ๕ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๙๓ ว่า "เราจะครองแผ่นดินโดยธรรมเพื่อประโยชน์สุขของมหาชนชาวสยาม" ... นับถึงวันนี้ พระราชโองการนี้ย่อมประจักษ์แจ้งแก่ใจของชาวไทยทั้งชาติว่าเป็นสัจจบารมีที่แท้จริง
๘. อธิษฐานบารมี
ความมุ่งมั่นในน้ำพระทัยที่ทรงประกาศเป็นพระปฐมบรมราชโองการเป็นทั้งสัจจบารมีและอธิษฐานบารมี รวมทั้งน่าจะเป็นการมุ่งมั่นต่อพระราชปณิธานที่อธิษฐานบารมีเพื่อพระโพธิญาณในอนาคตกาล จึงได้ทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจต่าง ๆ ตามแนวทางบารมี ๓๐ ถ้วน
๙. เมตตาบารมี
บารมีในข้อนี้มีมากล้นเกินพรรณนา ความทุ่มเท ความวิริยะ ความอุตสาหะ ที่ทรงกระทำเพื่อประโยชน์สุขของพสกนิกรอย่างต่อเนื่องยาวนานกว่า ๗๐ ปี ย่อมเกิดได้เพราะน้ำพระทัยเมตตาที่เปี่ยมล้นเท่านั้น
๑๐. อุเบกขาบารมี
บารมีข้อนี้พิจารณาได้ยาก เนื่องจากต้องอาศัยการสังเกตอย่างใกล้ชิด ซึ่งผู้ที่จะยืนยันบารมีข้อนี้ต้องเป็นผู้ที่ใกล้ชิดกับพระองค์ท่าน และโชคดีที่พสกนิกรอย่างเราได้รับรู้แง่มุมเกี่ยวกับอุเบกขาบารมีของพระองค์จาก พล.ต.อ. วสิษฐ เดชกุญชร อดีตข้าราชบริพารผู้มีโชควาสนาได้ทำงานรับใช้เบื้องพระยุคลบาท ดังความบางส่วนต่อไปนี้
"ผมรับราชการสนองพระเดชพระคุณใกล้พระยุคลบาทอยู่นานกว่า ๑๒ ปี และแม้จะพ้นหน้าที่มานานแล้ว แต่ก็ยังสดับตรับฟังข่าวเกี่ยวกับพระราชจริยาวัตรและพระราชกรณียกิจอยู่มิได้ขาด ทั้งจากสื่อและจากผู้ที่ยังรับราชการอยู่ใกล้พระยุคลบาท จึงรู้ เชื่อ และขอยืนยันว่า พระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นห่วงบ้านเมืองยิ่งกว่าพระอนามัยหรือพระชนม์ชีพอย่างแน่นอนและตลอดเวลา แต่ความห่วงใยของฝ่าละอองธุลีพระบาทนั้นจะเรียกไม่ได้เป็นอันขาดว่าเป็นความทุกข์
พระเจ้าอยู่หัวไม่ทรงเป็นทุกข์และไม่เคยเป็นทุกข์ เพราะทรงฝึกพระสติ ฝึกพระองค์ด้วยการปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้าจนเป็นพระนิสัย เมื่อมีวิกฤตการณ์ไม่ว่าจะร้ายแรงเพียงใด จะทรงพิจารณาด้วยความเยือกเย็นและสุขุมคัมภีรภาพ แล้วจึงทรงตัดสินพระทัยทำสิ่งที่ทรงเห็นว่าควรทำ และเมื่อทรงทำแล้วก็จะทรงถือว่าหน้าที่สำเร็จไปอีกครั้งหนึ่งอย่างหนึ่ง หากยังไม่จบสิ้น แต่มีเรื่องเกี่ยวพันต่อเนื่องต้องทำต่ออยู่อีก ก็จะทรงถือว่าเป็นหน้าที่อีกครั้งหนึ่งอย่างหนึ่งและทรงทำต่อ
ในการปฏิบัติพระราชกรณียกิจทั้งหลายนั้น หลักที่ทรงยึดถือและปฏิบัติอย่างมั่นคงและแน่วแน่คือ ไม่ทรงสนพระทัยว่าใครจะชมหรือใครจะตำหนิ เพราะทรงถือว่าทรงทำ ‘หน้าที่เพื่อหน้าที่' แต่ไม่ได้หมายความว่าทำแล้วทิ้ง แต่จะทรงทบทวนไตร่ตรอง ถ้าหากทรงเห็นว่าที่ทรงทำไปแล้วนั้นยังบกพร่องไม่สมบูรณ์ ครั้งต่อไปก็จะทรงพยายามปรับปรุงแก้ไข ซึ่งเป็นไปตาม ‘อิทธิบาท' ข้อที่ ๔ คือ ‘วิมังสา' อันเป็นหลักธรรมที่ทรงใช้และพระราชทานให้ผู้อื่นอยู่เสมอ ๆ เพราะทรงศึกษาและปฏิบัติธรรมมาอย่างต่อเนื่อง"